เอเอฟพี - “บารัค โอบามา” สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีผิวดำคนแรกในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ เมื่อวันอังคาร(20) ประกาศก้องอเมริกาเลือก “ความหวังอยู่เหนือความกลัว” และต้องร่วมมือกันใน “ศักราชใหม่แห่งความรับผิดชอบ” เพื่อชัยชนะเหนือวิกฤตมากมายหลายอย่าง
ท่ามกลางฝูงชนที่เข้ามาเป็นสักขีพยานมากกว่า 2 ล้านคน ในการแสดงความสนับสนุนต่อผู้นำคนใหม่ โอบามา วัย 47 ปี ก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐฯ หลังทำพิธีสาบานตน ณ รัฐสภาสหรัฐฯ ด้วยการวางมือไว้บนคัมภีร์ไบเบิลซึ่งเคยถูกใช้ในพิธีสาบานตนของอดีตประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น วีรบุรุษในดวงใจของโอบามา เมื่อปี 1861
“ผม, บารัค ฮุสเซน โอบามา ขอตั้งมั่นสาบานว่าผมจะปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาด้วยศรัทธาและจะทำอย่างสุดความสามารถ เพื่อปกปักและพิทักษ์รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา ดังนั้น ขอพระเจ้าทรงโปรดประทานพร” โอบมา กล่าวเรียกเสียงโห่ร้องกึกก้องจากฝูงชนพร้อมกับยิงปืนสลุต 21 นัด
ในการกล่าวสุนทรพจน์สาบานตนรับตำแหน่ง โอบามา กล่าวว่า “เราได้เลือกความหวังเหนือความกลัว ผลประโยชน์ของความสามัคคีอยู่เหนือความขัดแย้งและความบาดหมาง” ระหว่างนั้นในฝูงชนกว่า 2 ล้านคน ณ เนชันแนลมอลล์ มีน้ำตาแห่งความตื้นตันไหลออกมา
“เริ่มต้นวันนี้ เราต้องลุกขึ้นสะบัดฝุ่นออกและเริ่มต้นสร้างอเมริกาใหม่อีกครั้ง” โอบามา กล่าวถึงวิกฤตทางเศรษฐกิจครั้งเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจเมื่อช่วงต้น 1930
ประธานาธิบดีคนใหม่ยังส่งสาสน์ถึงทั่วโลกและชาติอิสลามในทันที หลังจาก 8 ปีที่ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของอเมริกากับชาติพันธมิตรสำคัญเศร้าหมองไป โดยเฉพาะภายหลังจากสงครามอิรัก
“อเมริกาเป็นเพื่อนของทุกชาติและทุกคน ทั้งบุรุษ สตรี และเด็กซึ่งกำลังมองหาอนาคตแห่งสันติภาพ และเกียรติภูมิ และเราพร้อมจะนำหน้าอีกครั้งหนึ่ง ถึงโลกมุสลิม เรามองหาแนวทางก้าวไปข้างหน้าใหม่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกันและความเคารพซึ่งกันและกัน”
อย่างไรก็ตาม เขาได้เตือนกลุ่มคนเหล่านั้นที่ใช้ “การก่อการร้าย” และฆ่าล้างทำลายผู้บริสุทธิ์ในความพยายามคุกคามสหรัฐอเมริกาจะต้องเผชิญการตอบโต้อย่างไม่ประนีประนอม
“เราขอบอกคุณเลยว่า จิตวิญญาณของเราแข็งแกร่งกว่าเดิมและไม่สามารถทำลายได้ คุณไม่สามารถเข้มแข็งกว่าเราและเราจะทำให้คุณพ่ายแพ้”
โอบามา เรียกร้องอเมริกันชนสำนึกในหน้าที่ความรับผิดชอบช่วงเวลาที่เศรษฐกิจสหรัฐฯดิ่งสู่ภาวะถดถอย “ประเทศของเราอยู่ในภาวะสงคราม ความรุนแรงทางเครือข่ายที่แผ่ขยายและร้ายกาจ เศรษฐกิจของเราอ่อนแออย่างเลวร้าย ผลสืบเนื่องจากความละโมบและขาดความรับผิดชอบของบางส่วน แต่มันก็คือความล้วเหลวร่วมกัน เราต้องร่วมกันให้พร้อมสำหรับยุคสมัยใหม่”
ความท้าทายเหล่านี้เป็นสิ่งที่ชาวอเมริกันเผชิญมาโดยตลอด แต่เขาเชื่อว่าอเมริกันจะผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้ และยังเชื่อว่าสหรัฐอเมริกาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานจะสามารถก้าวผ่านสิ่งท้าทายต่างๆ ไปได้
พิธีสาบานตนมีขึ้นบริเวณสนามหญ้าด้านตะวันตกของอาคารรัฐสภา เริ่มต้นด้วยบทสวดภาวนาของบาทหลวงริค วอร์เรน แห่งวิหารแซดเดิลแบ็ก รัฐแคลิฟอร์เนีย มีใจความเรียกร้องให้ทุกฝ่ายปกป้องการทำหน้าที่ของประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีคนใหม่
ก่อนที่ โจ ไบเดน จะเข้าพิธีสาบานตนดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต่อหน้าผู้พิพากษาสูงสุด จอห์น พอล สตีเวน มีใจความระบุว่าจะปฏิญาณตนทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ในตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐ และจะธำรงรักษารัฐธรรมนูญของสหรัฐอย่างสุดความสามารถ
จากนั้นมีการคั่นพิธีด้วยการบรรเลงเพลงคลาสสิกของศิลปินชื่อดัง เช่น อิแซก เพิร์ลแมน และโยโย มา ก่อนที่ โอบามาจะเข้าพิธีสาบานตนดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ ต่อหน้าผู้พิพากษาสูงสุด จอห์น โรเบิร์ต และเป็นที่สังเกตว่า โอบามา ได้ระบุชื่อเต็มของตนเอง คือ บารัค ฮุสเซน โอบามา ก่อนกล่าวคำสาบานตนด้วย
พิธีการที่ร่วมโดยประธานาธิบดีที่กำลังพ้นตำแหน่ง จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ซึ่งนั่งเก้าอี้ในทำเนียบขาวมานาน 8 ปี โอบามา สาบานตนต่อหน้าฝูงชนที่โบกสะบัดธง ซึ่งคาดหมายว่ามีจำนวนหลายล้านคนที่ยอมทนสภาพอากาศอันหนาวเหน็บเฝ้ารอนานกว่า 5 ชั่วโมง
ประชาชนกว่า 3 แสน แออัดกันบริเวณระบบรถไฟฟ้าใต้ดินของวอชิงตันในช่วงเช้าวันอังคาร(20) เพื่อมุ่งหน้าไปยังพิธีสาบานตน เจ้าหน้าที่ขนส่งบอก พร้อมระบุว่าจำนวนดังกล่าวถือว่ามากกว่าวันทำงานปกติอย่างมหาศาล
หลังเสร็จพิธี นายโอบามาเดินทางไปยังทำเนียบขาว ซึ่งมีขบวนพาเหรดเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ไปจนถึงทำเนียบขาวด้วย
อนึ่ง ประธานาธิบดีโอบามา และนางมิเชล สตรีหมายเลข 1 ได้โดยสารในรถยนต์ประจำตำแหน่งสีดำสนิท ที่มีชื่อว่า “เดอะ บีสต์” เคลื่อนไปตามท้องถนนเป็นระยะทาง 1.7 ไมล์ จากอาคารรัฐสภาไปยังทำเนียบขาว โดยมีประชาชนรอชมขบวนพาเหรดจากสองข้างทางหลายแสนคน ท่ามกลางมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดของเจ้าหน้าที่นับหมื่นนาย จากนั้นเขาได้ก้าวเท้าเข้าสู่ทำเนียบขาวในฐานะประธานาธิบดีเป็นครั้งแรก