เอเจนซี - วอร์เรน บัฟเฟตต์ อภิมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลก ประกาศในวันพุธ (1)จะเข้าลงทุนเป็นมูลค่า 3,000 ล้านดอลลาร์ ในบริษัทเจเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) นับเป็นความพยายามล่าสุดของนักลงทุนที่ได้รับความยอมรับนับถือมากที่สุดในโลกผู้นี้ ที่จะเข้าไปลงทุนในกิจการซึ่งกำลังมีสถานะย่ำแย่แต่เขาเชื่อว่ายังจะมีอนาคตรุ่งเรืองได้ต่อไป ท่ามกลางวิกฤตการเงินที่กำลังลุกลามไปทั่วโลก ชนิดที่ตัวบัฟเฟตต์เองยังเรียกว่า "เพิร์ลฮาร์เบอร์ทางเศรษฐกิจ"
เบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ บริษัทการลงทุนและกิจการประกันภัยของบัฟเฟตต์ ประกาศลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิ์ของจีอี บริษัทยักษ์ใหญ่ชื่อดังของสหรัฐฯ ที่มูลค่าหุ้นลดลงราว 1 ใน 3 แล้วในปีนี้ อันเนื่องมาจากปัญหาในกิจการธุรกิจด้านการเงินของบริษัท จนทำให้จีอีต้องประกาศแผนขายหุ้นสามัญเพื่อระดมทุน 12,000 ล้านดอลลาร์
ก่อนหน้านี้เพียง 8 วัน เบิร์กไชร์ได้ลงทุนลักษณะคล้ายคลึงกันมูลค่า 5,000 ล้านดอลลาร์ในโกลด์แมนแซคส์ ซึ่งเคยเป็นกิจการวาณิชธนกิจวอลล์สตรีทที่มีผลประกอบการดีที่สุด และเพิ่งยอมแปรตัวเองเป็นบริษัทโฮลดิ้งส์ธนาคารธรรมดา หลังเผชิญวิกฤตหนักหนาสาหัสในรอบนี้
บัฟเฟตต์ ยอมรับว่า การลงทุนในบริษัททั้งสองนี้ของเขา อาจจะมีผลกระทบกระเทือนในทางลบ หากว่ารัฐสภาสหรัฐฯ ไม่ผ่านกฏหมายมูลค่า 700,000 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมการเงินของประเทศที่เต็มไปด้วยหนี้อสังหาริมทรัพย์เน่าเสีย ทั้งนี้ในปัจจุบันเบิร์กไชร์เป็นหนึ่งในบริษัทไม่กี่แห่งในสหรัฐฯ ที่ไม่จำเป็นต้องกู้ยืมเงินมาเพื่อมาปิดการซื้อขายมูลค่าสูงระดับนี้
"สิ่งบัพเฟตต์รอมาหลายปี ในที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้ สถานการณ์ที่ตลาดย่ำแย่ลงจนทำให้เขาสามารถเจรจาให้เบิร์กไชร์ซื้อหุ้นบริษัทอื่นได้ในราคาแสนถูก" เจมส์ อาร์มสตรอง ประธานของเฮนรี เอช อาร์มสตรอง แอนด์ แอสโซสิเอตส์ ในเมืองพิตสเบิร์กกล่าว "เขารอเวลาเช่นนี้มาถึง 10 ปีเต็มๆ แล้ว"
ภายใต้ข้อตกลงล่าสุดคราวนี้ เบิร์กไชร์จะเข้าซื้อหุ้นบุริมสิทธิ์ของจีอีมูลค่า 3,000 ล้านดอลลาร์ โดยจะได้รับเงินปันผล 10% ซึ่งเท่ากับว่าจะทำให้เบิร์กไชร์มีรายได้ราว 300 ล้านดอลลาร์ต่อปี
นอกจากนี้เบิร์กไชร์ยังจะได้สิทธิในการซื้อหุ้นสามัญของจีอีอีก 3,000 ล้านดอลลาร์ภายในเวลา 5 ปีที่ราคา 22.25 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งต่ำกว่าราคา ณ.ปัจจุบัน และใกล้กับราคาต่ำสุดในรอบ 5 ปีครึ่งที่ทำไว้เมื่อวันที่ 18 กันยายนปีนี้
"เจเนอรัล อิเล็กทริกเป็นกระดูกสันหลังของอุตสาหกรรมอเมริกัน" บัฟเฟตต์กล่าวในระหว่างให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นบีซีในวันพุธ "จีอีก็มีปัญหาเหมือนบริษัททุกแห่งที่ต้องกู้ยืมเงินมาเป็นจำนวนมากตลอดเวลา แต่บริษัทก็จะยังสามารถดำรงคงอยู่ไปอีก 5 ปี หรือ 10 ปีหรืออาจจะ 100 ปีนับจากนี้ไป หากว่าคุณซื้อหุ้นของบริษัทนี้ในเวลาที่เหมาะ คุณก็น่าจะทำเงินได้อยู่"
ราคาหุ้นของจีอีปิดเมื่อวันพุธนั้นอยู่ที่ 24.50 เหรียญต่อหุ้น ทำให้เบิร์กไชร์ได้กำไรในกระดาษ 330 ล้านดอลลาร์เมื่อคำนวณจากเงื่อนไขในวอร์แรนท์ (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะเข้าซื้อหุ้น) ที่ได้มา และนั่นทำให้หุ้นคลาสเอของเบิร์กไชร์มีราคาเพิ่มขึ้น 64,000 เหรียญ ไปเป็น 137,000 ดอลลาร์
เบิร์กไชร์เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีมูลค่าถึง 213,000 ล้านดอลลาร์ โดยมีธุรกิจในสังกัดอยู่ 76 แห่งที่ขายตั้งแต่กรมธรรม์ประกันภัย ไอศครีม สี ชุดชั้นใน รวมทั้งไปลงทุนในบริษัทชั้นดีอย่าง โคลาโคล่า และเวลส์ ฟาร์โก
บัฟเฟตต์ซึ่งตอนนี้อายุ 78 ปีแล้ว มักจะมองหาช่องทางเข้าไปซื้อหุ้นของพวกบริษัทที่มีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริงและมีการบริหารงานที่เข้มแข็ง เท่าที่ผ่านมาเบิร์กช์ลงทุนในจีอีน้อยมาก โดยเมื่อสิ้นเดือนมิถุนายนเบิร์ไชร์ถือหุ้นสามัญของจีอีเพียง 7.78 ล้านหุ้น ซึ่งมีมูลค่า 207.6 ล้านดอลลาร์
"ดูราวกันว่าเรากำลังอยู่ในช่วงหนักหนาสาหัสที่สุดในวิกฤตการเงินคราวนี้แล้ว เพราะบัฟเฟตต์ก็พูดอยู่เสมอว่า ในเวลาที่คนส่วนใหญ่กำลังวิตกกันมากที่สุด เขาก็จะเกิดความตื่นเต้นอย่างที่สุดเมื่อมองในแง่การลงทุน" สตีเวน เช็ก ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของเช็ก แคปปิตอล แมเนจเมนท์ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียกล่าว
ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาบัฟเฟตต์ใช้เงินสดที่เบิร์กไชร์สะสมไว้ไปไม่น้อย และในปีนี้เงินจำนวนนี้ก็ลดลงฮวบลงมา โดยสิ้นเดือนมิถุนายน เม็ดเงินในบริษัทอยู่ที่ 31,160 ล้านดอลลาร์ จากที่สิ้นปีที่แล้วมีอยู่ 44,330 ล้านดอลลาร์
เมื่อเดือนที่แล้ว มิดอเมริกัน เอ็นเนอร์จี โฮลดิ้งส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทลูกของเบิร์กไชร์ก็เพิ่งเข้าซื้อคอนเสตลเลชัน เอ็นเนอร์จี กรุ๊ป เป็นเงิน 4,700 ล้านดอลลาร์ และเข้าซื้อหุ้น 10% ของบีวายดี ผู้ผลิตแบตเตอรีจีนเป็นเงิน 230 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้เบิร์กไชร์ก็ยังจะจ่ายเงิน 6,500 ล้านดอลลาร์ให้กับมาร์ส อิงค์ เพื่อซื้อวายเอ็ม ริกลีย์ จูเนียร์ โค ผู้ผลิตหมากฝรั่ง โดยคาดว่าข้อตกลงหลังสุดนี้จะปิดลงได้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า