วันนี้ (6 ม.ค.) นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลังประชุมคณะกรรมการร่วมเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สภาหอการค้าไทย และสมาคมธนาคารไทย ว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ ในประเทศไทย ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยหยุดชะงัก การท่องเที่ยวในประเทศซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจตลอดครึ่งหลังของปี 2563 ไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ชั่วคราว หลังจากมีมาตรการเข้มงวดจำกัดการเดินทางในหลายจังหวัดที่เป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลา 2-3 เดือน และยังส่งผลลบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน
สำหรับกิจกรรมการผลิตในภาคอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้ เนื่องจากประเทศสำคัญๆ ใน Global supply chain อย่างจีนและไต้หวันยังควบคุมการระบาดได้ดี ทั้งนี้ ภาคการส่งออกในช่วงต้นปี 2564 อยู่ภายใต้ข้อจำกัดจากปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ในการส่งออกรวมถึงค่าเงินบาทที่ยังมีแนวโน้มแข็งค่า
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการร่วมเอกชน 3 สถาบัน ได้จัดทำข้อเสนอไปยังรัฐบาล เพื่อหามาตรการควบคุมโรคระบาด และช่วยเหลือผู้ประกอบการ แรงงานที่ได้รับผลกระทบ คือ 1.ต้องเร่งควบคุมการแพร่ระบาดและบังคับใช้มาตรการต่างๆ ที่ประกาศออกมาอย่างเคร่งครัด ควรพุ่งเป้าแม่นยำ ตรงจุด ถึงต้นตอการแพร่กระจาย โดยเฉพาะควบคุมดูแลที่อยู่ของคนงานต่างด้าวให้เหมาะสม และเร่งจับผู้กระทำผิด ทั้งบ่อนการพนัน และการนำเข้าแรงงานต่างด้าวอย่างผิดกฎหมาย รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้สินค้าของประเทศว่าปัญหาการแพร่ระบาดส่วนใหญ่มาจากคนสู่คน ไม่ใช่จากอาหารหรือสินค้าสู่คน
2.ขอให้ภาครัฐเร่งดำเนินการเรื่องงบประมาณช่วยเหลือ 2 แสนล้านบาท โดยให้กำหนดวิธีการชัดเจน ปฏิบัติได้เร็ว และส่งผลได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะมีความเห็นว่าจะสามารถช่วยพยุงเศรษฐกิจได้ ซึ่งอาจเป็นการต่ออายุโครงการคนละครึ่ง และเพิ่มงบประมาณการใช้จ่ายต่อบุคคลจาก 3,000 เป็น 5,000 บาท มาตรลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ เช่น ลดค่าไฟร้อยละ 5 รวมถึงการใช้เครื่องมือทางการเงินอย่าง Asset Warehousing และบรรษัทสินเชื่อขนาดกลางและขนาดย่อม (บสย.) อย่างมีประสิทธิภาพ
3. เร่งรัดเรื่องวัคซีนให้สามารถได้มาตามกำหนดเวลา และมีปริมาณที่เพียงพอ รวมถึงกำหนดวิธีการและหลักเกณฑ์ในการกระจาย การขนส่ง และฉีดวัคซีน อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจัดลำดับผู้ที่ได้รับวัคซีนก่อนหลังอย่างเหมาะสม เป็นห่วงเรื่องหลักเกณฑ์การกระจายวัคซีน ถ้าคุมไม่ดี จำกัดผู้ได้รับวัคซีนให้เหมาะสม
และ 4.เร่งรัดการใช้และการเจรจาการค้าทวิภาคี รวมถึงการให้สัตยาบันลงนามข้อตกลง RCEP ในการประชุมรัฐสภา เพื่อให้ข้อตกลงที่ลงนามไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2563 มีผลบังคับใช้กลางปี 2564 เพื่อให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีแรงส่งเพิ่มในช่วงครึ่งปีหลัง
สำหรับกิจกรรมการผลิตในภาคอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้ เนื่องจากประเทศสำคัญๆ ใน Global supply chain อย่างจีนและไต้หวันยังควบคุมการระบาดได้ดี ทั้งนี้ ภาคการส่งออกในช่วงต้นปี 2564 อยู่ภายใต้ข้อจำกัดจากปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ในการส่งออกรวมถึงค่าเงินบาทที่ยังมีแนวโน้มแข็งค่า
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการร่วมเอกชน 3 สถาบัน ได้จัดทำข้อเสนอไปยังรัฐบาล เพื่อหามาตรการควบคุมโรคระบาด และช่วยเหลือผู้ประกอบการ แรงงานที่ได้รับผลกระทบ คือ 1.ต้องเร่งควบคุมการแพร่ระบาดและบังคับใช้มาตรการต่างๆ ที่ประกาศออกมาอย่างเคร่งครัด ควรพุ่งเป้าแม่นยำ ตรงจุด ถึงต้นตอการแพร่กระจาย โดยเฉพาะควบคุมดูแลที่อยู่ของคนงานต่างด้าวให้เหมาะสม และเร่งจับผู้กระทำผิด ทั้งบ่อนการพนัน และการนำเข้าแรงงานต่างด้าวอย่างผิดกฎหมาย รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้สินค้าของประเทศว่าปัญหาการแพร่ระบาดส่วนใหญ่มาจากคนสู่คน ไม่ใช่จากอาหารหรือสินค้าสู่คน
2.ขอให้ภาครัฐเร่งดำเนินการเรื่องงบประมาณช่วยเหลือ 2 แสนล้านบาท โดยให้กำหนดวิธีการชัดเจน ปฏิบัติได้เร็ว และส่งผลได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะมีความเห็นว่าจะสามารถช่วยพยุงเศรษฐกิจได้ ซึ่งอาจเป็นการต่ออายุโครงการคนละครึ่ง และเพิ่มงบประมาณการใช้จ่ายต่อบุคคลจาก 3,000 เป็น 5,000 บาท มาตรลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ เช่น ลดค่าไฟร้อยละ 5 รวมถึงการใช้เครื่องมือทางการเงินอย่าง Asset Warehousing และบรรษัทสินเชื่อขนาดกลางและขนาดย่อม (บสย.) อย่างมีประสิทธิภาพ
3. เร่งรัดเรื่องวัคซีนให้สามารถได้มาตามกำหนดเวลา และมีปริมาณที่เพียงพอ รวมถึงกำหนดวิธีการและหลักเกณฑ์ในการกระจาย การขนส่ง และฉีดวัคซีน อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจัดลำดับผู้ที่ได้รับวัคซีนก่อนหลังอย่างเหมาะสม เป็นห่วงเรื่องหลักเกณฑ์การกระจายวัคซีน ถ้าคุมไม่ดี จำกัดผู้ได้รับวัคซีนให้เหมาะสม
และ 4.เร่งรัดการใช้และการเจรจาการค้าทวิภาคี รวมถึงการให้สัตยาบันลงนามข้อตกลง RCEP ในการประชุมรัฐสภา เพื่อให้ข้อตกลงที่ลงนามไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2563 มีผลบังคับใช้กลางปี 2564 เพื่อให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีแรงส่งเพิ่มในช่วงครึ่งปีหลัง