รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก “Thira Woratanarat” เกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ระบุว่า สถานการณ์ทั่วโลกล่าสุด 1 พฤศจิกายน 2563
ทะลุ 46 ล้านคนไปตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น สหราชอาณาจักรเกิน 1 ล้านคนเป็นประเทศที่ 9 แล้วพร้อมประกาศล็อคดาวน์อีกครั้งยาว 1 เดือน
เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่มสูงถึง 494,133 คน รวมแล้วตอนนี้ 46,348,858 คน ตายเพิ่มอีก 6,789 คน ยอดตายรวม 1,199,398 คน
อเมริกา ติดเพิ่มโหดมากอย่างต่อเนื่อง 95,369 คน รวม 9,400,395 คน ตายเพิ่มเกือบพัน ขณะนี้ตายไปแล้ว 236,060 คน
อินเดีย ติดเพิ่ม 46,715 คน รวม 8,182,881 คน
บราซิล ติดเพิ่ม 18,802 คน รวม 5,535,460 คน
รัสเซีย ติดเพิ่มทำลายสถิติ 18,140 คน รวม 1,618,116 คน
อันดับ 5-10 ตอนนี้ ฝรั่งเศส สเปน อาร์เจนตินา โคลอมเบีย สหราชอาณาจักร และเม็กซิโก ติดกันหลักพันถึงหลายหมื่นต่อวัน
10 อันดับแรกของโลกนั้นมีอัตราตายตั้งแต่ 1.5-9.9%
อิตาลี เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ แคนาดา ออสเตรีย เบลเยียม รวมถึงอิหร่าน บังคลาเทศ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเมียนมาร์ ติดกันเพิ่มหลักพันถึงหลายหมื่น
หลายต่อหลายประเทศในยุโรป ก็ยังติดกันหลักร้อยถึงหลักพัน
ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และมาเลเซีย ติดเพิ่มกันหลายร้อย ส่วนจีน สิงคโปร์ และออสเตรเลีย ติดเพิ่มกันหลักสิบ ในขณะที่ฮ่องกง เวียดนาม และนิวซีแลนด์ยังมีติดเพิ่มต่ำกว่าสิบ
สถิติเลย 100,000 คนไปอีกสองประเทศคือ ญี่ปุ่น และออสเตรีย
สถานการณ์ในเมียนมาร์ เมื่อวานติดเพิ่มอีก 1,210 คน ตายเพิ่มอีก 18 คน ตอนนี้ยอดรวม 52,706 คน ตายไป 1,237 คน อัตราตายตอนนี้ 2.4%
ไล่เรียง timeline ของเมืองไทยดู เราเปิดเฟสหกช่วงปลายกรกฎาคม-ต้นสิงหาคม
จากนั้น 6 สัปดาห์ (กลางกันยายน) เจอเคสดีเจติดเชื้อในประเทศที่หาต้นตอไม่ได้ รวมถึงเคสอื่นๆ ในเวลาใกล้เคียงกันทั้งเคสนักบอลต่างชาติ และเคสผู้หญิงที่กลับจากต่างประเทศ เข้ากักตัว 14 วัน ตรวจไม่พบทั้งสองครั้ง แต่ต่อมากลับมาตรวจพบหลังจากออกจากการกักตัว สอดคล้องกับธรรมชาติที่สังเกตเห็นจากประเทศอื่นๆ ที่มักเจอเคสติดเชื้อในประเทศภายใน 4-6 สัปดาห์
หลายประเทศมักประสบปัญหาการแพร่กระจายของเชื้อในอีกราว 6 สัปดาห์หลังจากนั้น หากไม่มีมาตรการที่มีประสิทธิภาพ
ของเรานั้น เงื่อนเวลาอาจมีการเหลื่อมไปได้บ้าง เพราะทยอยดำเนินมาตรการเป็นขยักๆ แต่ลักษณะการเปลี่ยนแปลงก็ยังสอดคล้องกับบทเรียนของประเทศอื่นๆ
เคสชาวฝรั่งเศสที่เกาะสมุย รวมถึงอีกหลายกรณีในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น เป็นไปได้ทั้งเอามาจากต่างประเทศและติดภายในประเทศ แต่สุดท้ายมีความเป็นไปได้สูงที่จะสรุปหาต้นตอไม่ได้ เฉกเช่นเดียวกับบทเรียนระบาดซ้ำในประเทศอื่นๆ
เหนืออื่นใด การที่เราเห็นซีรีย์ของเคสที่ตรวจสอบหาต้นตอไม่ได้แบบนี้ มันคือ"สัญญาณเตือนดังลั่น"ว่าการระบาดซ้ำนั้นมีความเป็นไปได้สูง และเหมือนรอวันปะทุ
นอกจากจะพยายามย้ำเตือนให้ประชาชนอย่างเราทุกคนได้ระมัดระวังตัวในการใช้ชีวิตประจำวัน ด้วยการใส่หน้ากากเสมอ และอื่นๆ แล้ว
หน่วยงานรัฐเองควรรีบขยายระบบบริการตรวจโควิดให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และรณรงค์ให้ประชาชนทราบ เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงบริการตรวจได้ง่ายและทันเวลา เพราะนี่จะเป็นหัวใจสำคัญในการรับมือการระบาดซ้ำ มิใช่เพียงแค่เรื่องการเจาะตรวจเฉพาะกลุ่มเสี่ยงและการติดตามตัวผู้สงสัยเท่านั้น
ตรวจน้อยก็เจอน้อย ไม่ตรวจก็ไม่เจอ แต่หากมีการติดเชื้อระบาดซ้ำขึ้นโดยไม่ได้ตรวจหรือตรวจน้อย กว่าจะรู้ตัว ก็กระจายไปทั่วแล้ว
ส่วนเรื่องนโยบายหาเงินจากการเร่งรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และลดวันกักตัวลงจากเดิม 14 วันเหลือ 10 วันและกระหายอยากจะเหลือ 7 วันนั้น ยืนยันว่ามันคือแนวทางสู่หายนะครับ สถานการณ์ระบาดรุนแรงทั่วโลกแบบนี้ควรชะลอนโยบายแบบนี้ออกไปก่อน
เราจำเป็นต้องประคับประคองให้รอดพ้นการระบาด ยาและวัคซีนก็กำลังจะมา ถ้าพลาดตกเหวเอาตอนนี้ คงไม่มีเงินพอที่จะจัดซื้อจัดหายาและวัคซีน และยากที่จะฟื้นฟูประเทศในอนาคต ด้วยรักต่อทุกคน