xs
xsm
sm
md
lg

‘ดร.นิว’โพสต์ จม.เปิดผนึกถึงนายกฯ แนะทำอำนาจอธิปไตยแท้จริงก่อนแก้ รธน.

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และคณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ “จดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี” ผ่านเฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan ระบุว่า เรียน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha

ข้าพเจ้า นาย ศุภณัฐ อภิญญาณ ขอยื่นข้อเสนอต่อท่านผู้มีความรับผิดชอบสูงสุดในการบริหารราชการแผ่นดินในปัจจุบัน ให้มีการสร้างประชาธิปไตย “ทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนอย่างแท้จริง” ก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

#ทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญในอนาคต เป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ และยุติปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่มีมานานกว่า 88 ปี โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากความล้มเหลวของคณะราษฎร

เนื่องจากคณะราษฎรเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองไปสู่ระบอบประชาธิปไตย โดยไม่ได้ทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชน แต่คณะราษฎรที่มีคนเพียงหยิบมือกลับทำการเปลี่ยนผ่านโดยใช้กฎหมู่อยู่เหนือประชาชน ซึ่งประชาชนชาวไทยทั้งประเทศในขณะนั้นไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง อำนาจอธิปไตยจึงไม่เคยเป็นของปวงชน และไม่เคยถึงมือของประชาชนมาตั้งแต่ต้น ทำให้รัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยเป็นเพียงเครื่องมือในการรักษาอำนาจของคณะราษฎร

ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงประกาศสละพระราชอำนาจส่วนใหญ่ที่มีมาแต่เดิมของสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือ “อำนาจอธิปไตย” ในการบริหารราชการแผ่นดินให้แก่ประชาชนชาวไทยทุกคน แต่คณะราษฎรซึ่งเป็นคนกลางในขณะนั้น และเรื่อยมาจนถึงนักการเมืองในขณะนี้ กลับไม่ยอมส่งมอบ “อำนาจอธิปไตย” ให้แก่ประชาชน หรือเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารราชการแผ่นดินอย่างแท้จริง

เป็นเหตุให้กว่า 88 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ที่มีการใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย รวมถึงการใช้กฎหมู่อยู่เหนือประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ นำไปสู่การรัฐประหารและเผด็จการรัฐสภาแย่งชิง “อำนาจอธิปไตย” กันไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยที่ผู้ทำการรัฐประหารและผู้กุมอำนาจในรัฐสภาต่างก็ไม่เคยทำ “อำนาจอธิปไตย” ให้เป็นของปวงชน

ซ้ำร้ายในปัจจุบัน เทคโนโลยีอย่างโซเชียลมีเดียถูกนำมาใช้เป็นอาวุธทางการเมือง มีนักการเมืองซึ่งเป็นนักปลุกปั่นในคราบของนักประชาธิปไตยจอมปลอมหลอกใช้มวลชนเป็นเครื่องมือแย่งชิง “อำนาจอธิปไตย” และเปิดโอกาสให้ประเทศมหาอำนาจเช้ามาแทรกแซงกิจการภายใน ซึ่งทั้งหมดได้ประกอบกันขึ้นเป็นขบวนการปลุกม็อบที่ฝักใฝ่ความรุนแรง โดยใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมายครั้งใหม่ที่อันตรายยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

ด้วยการสร้างความสับสนระหว่าง “อำนาจในราชการส่วนพระองค์” กับ “อำนาจอธิปไตย” แล้วบิดเบือนใส่ร้าย “สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยภายใต้รัฐธรรมนูญ” ว่าเป็น “สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเหนือรัฐธรรมนูญ” ทั้งๆที่สถาบันฯ ได้สละพระราชอำนาจส่วนใหญ่ที่มีมาแต่เดิม หรือ “อำนาจอธิปไตย” ให้แก่ปวงประชาชนชาวไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตามที่ปรากฏอยู่ในพระราชหัตถเลขาของล้นเกล้ารัชกาลที่ 7

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า สถาบันฯ ทุกประเทศในโลกในระบอบประชาธิปไตย ล้วนแล้วแต่มีความแตกต่างกันออกไปตามภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ และอัตลักษณ์ของชาติ ซึ่ง “อำนาจในราชการส่วนพระองค์” เป็นเรื่องส่วนพระองค์ในฐานะประมุขแห่งรัฐ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับ “อำนาจอธิปไตย” และสถาบันฯ ของไทยก็ทรงบริหารราชการแผ่นดินแต่เพียงในนามของประมุขแห่งรัฐเท่านั้น ไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับ “อำนาจอธิปไตย” เป็นไปตามหลักการปกติของระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ดำรงตำแหน่งของประมุข โดยที่ “การมีอำนาจในราชการส่วนพระองค์ตามพระราชอัธยาศัย” ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือไปกระทบกับ “อำนาจอธิปไตย” แต่อย่างใด เพราะแม้แต่ในประเทศนอร์เวย์ที่ได้ชื่อว่ามีดัชนีความเป็นประชาธิปไตยสูงที่สุดในโลกก็ยึดถือหลักการเดียวกันนี้ ตามมาตรา 24 ในรัฐธรรมนูญของประเทศนอร์เวย์ “The King chooses and dismisses, at his own discretion, his royal household and court officials.”

ดังนั้นปัญหาทั้งหมดจึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถาบันฯ เพราะ “อำนาจอธิปไตย” ในการบริหารประเทศปัจจุบันอยู่ในรัฐสภามาจากการเลือกตั้งของประชาชน ซึ่งได้เลือกนักการเมืองเข้ามาเป็นตัวแทนของประชาชนในการบริหารประเทศ แต่เพราะปัญหาที่ได้เรียนไว้ในข้างต้น “อำนาจอธิปไตยไม่ได้เป็นของปวงชน” ทำให้บรรดานักการเมืองทั้งหลายที่ประชาชนได้เลือกตั้งเข้ามา “ไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง” แต่กลับ “เป็นหุ่นเชิดและกระบอกเสียงของนายทุนพรรคการเมือง” กันเสียหมด เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การบริหารประเทศไม่ได้ตอบสนองต่อประโยชน์สุขของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
การยัดเยียดความขัดแย้งและโทษสถาบันฯ ว่าเป็นต้นตอของปัญหาจึงไม่ถูกต้องและผิดทาง มีแต่จะทำให้เกิดความแตกแยกและความรุนแรงในประเทศชาติมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม ซึ่งส่งผลให้เกิดความเสี่ยงอย่างมหันต์ที่จะนำพาสังคมไทยไปสู่สงครามกลางเมือง ตลอดจนการรัฐประหาร โดยไม่ได้เกิดประโยชน์อันใดต่อ “การสร้างประชาธิปไตยที่ถูกต้อง” และ “การทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนอย่างแท้จริง”

ตั้งแต่ พ.ศ.2475 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
- ประเทศไทยเกิดการรัฐประหารขึ้นมาแล้วกี่ครั้ง?
- ประเทศไทยมีความรุนแรงเกิดขึ้นมาแล้วกี่หน?
- ประเทศไทยเกิดม็อบกันมาแล้วกี่รอบ?
- ประเทศไทยเผชิญกับความสูญเสียมาแล้วเท่าไหร่?
- ประเทศไทยแก้ไขรัฐธรรมนูญมาแล้วกี่สมัย?
- ประเทศไทยฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งไปแล้วกี่ฉบับ?

แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้ เพราะไม่ได้เป็นการแก้ไขที่ต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด
ดังนั้นทางออกของประเทศไทยจึงมีแค่ทางเดียวเท่านั้น คือ “การสร้างประชาธิปไตยที่ถูกต้องโดยสันติวิธี” หรือ “การทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนอย่างแท้จริง” ในขณะที่ปัญหาการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังวุ่นวายอยู่ในขณะนี้เป็นเพียงแค่ปลายเหตุของปัญหาเท่านั้น