xs
xsm
sm
md
lg

ส.ส.ก้าวไกลเสนอเพิ่มงบ สธ.รองรับการผลิตวัคซีน เพิ่มอุปกรณ์การแพทย์

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายแพทย์เอกภพ เพียรพิเศษ ส.ส.เชียงราย พรรคก้าวไกล อภิปรายถึง พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะงบประมาณด้านสาธารณสุขที่ตั้งไว้ 45,000 ล้านบาท ว่า เมื่อเทียบกับงบปี 2563 ของกระทรวงสาธารณสุข 12,500 ล้านบาท เท่ากับงบลงทุน 4 ปี และ พ.ร.ก. กู้เงินนี้เป็นเงินกู้ก้อนใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศ นอกจากไม่มีส่วนร่วมของประชาชนแล้ว ยังไม่มีสัดส่วนของผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขร่วมพิจารณา ไม่ได้กำหนดรายละเอียดและสัดส่วนของการใช้เงิน ว่าจะนำไปใช้ทำอะไรบ้าง เพียงแต่กำหนดไว้กว้างๆ เหมือนตีเช็คเปล่ากับงบที่สำคัญขนาดนี้ จึงต้องตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบการใช้งบประมาณนี้ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมด้วย

นายแพทย์เอกภพ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขไทยส่งรายงานให้องค์การอนามัยโลก (WHO) ว่ามีศักยภาพในการตรวจได้ 6,000 คนต่อสัปดาห์ ต่างจากที่เคยมีการแถลงของ ศบค. ว่าสามารถตรวจได้ 20,000 คนต่อวัน แต่กลับไม่มีเอกสารหลักฐานยืนยัน แสดงให้เห็นว่าควรพัฒนาศักยภาพในการตรวจให้มากกว่านี้ แต่ในรายละเอียดการขอกู้เงินในส่วนสาธารณสุข 45,000 ล้านบาทนั้น กลับมีรายละเอียดเพียง 5 บรรทัดเท่านั้น แต่ละบรรทัดมีมูลค่ากว่า 9,000 ล้านบาท จะยอมให้รัฐบาลทำแบบนี้จริง ๆ และมีการคาดการณ์ว่า วัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ในอนาคตจะมีราคาอยู่ที่ 300 ถึง 1,000 ต่อเข็ม แปลว่ารัฐบาลต้องเตรียมงบประมาณวัคซีนไว้ 12,000-67,000 ล้านบาท ปัจจุบันไทยมีหน่วยงานรัฐที่สามารถผลิตวัคซีนได้ 2 หน่วยงาน และไม่มีการผลิตวัคซีนใหม่ๆ เลย ซ้ำยังไม่มีศักยภาพที่จะผลิตในปริมาณครั้งละมากๆ ดังนั้น ควรจะมีการปรับปรุงเทคโนโลยีและความสามารถในการผลิตวัคซีนในประเทศได้แล้ว หากไม่อยากจะรอคิวนานจากการต้องพึ่งการผลิตของต่างประเทศ เพราะประชาชนควรจะได้รับวัคซีนอย่างถ้วนหน้า

นอกจากนี้ รัฐบาลต้องสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ด้วย อย่าปล่อยให้ต้องใช้หน้ากากอนามัยเพียง 1 ชิ้นต่อหนึ่งวันเต็มๆ อย่าปล่อยให้ต้องหาใครมาบริจาคอุปกรณ์การแพทย์ อย่าปล่อยให้ต้องใช้เสื้อกันฝนแทนชุด PPE รัฐบาลไม่ควรฉลองชัยชนะบนหยาดเหงื่อของบุคลากรทางการแพทย์และน้ำตาของประชาชน อย่าปล่อยให้ต่อสู้กันอย่างเดียวดาย

ทั้งนี้ พรรคก้าวไกลขอเสนอให้มีการปรับวงเงินกู้เพื่อใช้สำหรับด้านสาธารณสุขจากเดิม 45,000 ล้านบาท เป็น 100,000 ล้านบาท โดยใช้ 600,000 ล้านบาท สำหรับการซื้อวัคซีน และอีก 400,000 ล้านบาทสำหรับการพัฒนาศักยภาพระบบสาธารณสุข การจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยา และสำหรับบุคลากร เมื่อจัดงบประมาณแบบนี้ จะเป็นการต่อสู้ที่ทุกคนมาร่วมกัน และเมื่อประกาศชัยชนะ จะเป็นชัยชนะของทุกคนของแท้จริง ไม่ใช่ชัยชนะที่อยู่บนซากปรักหักพักของคนรุ่นต่อไปที่ต้องมาใช้หนี้สินคนรุ่นเราก่อไว้ให้ ไม่ใช่ชัยชนะบนความลำบาก ความอดอยากของประชาชน ประเทศไทยต้องชนะไปด้วยกัน