คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เปิดเผยผลสอบกรณี 3 ส.ส.เพื่อไทยกระทำการฝ่าฝืนมติพรรค และข้อตกลงร่วมกันของพรรคร่วมฝ่ายค้าน สรุปดังนี้
1.กรณี นางพรพิมล ธรรมสาร ส.ส.ปทุมธานี พบว่า ได้แสดงพฤติกรรม และท่าทีชัดเจนว่ามีเจตนาและแสดงออกอย่างเปิดเผยในการฝ่าฝืนมติพรรค แม้ในครั้งแรกจะยังมิได้มีมติไปสนับสนุนรัฐบาล แต่ก็ไปแสดงตัวเป็นองค์ประชุมอย่างเปิดเผย ซึ่งขัดต่อมติของพรรค และเมื่อช่วงการอภิปรายงบประมาณ 2563 วาระ 2-3 ยังแสดงตนโหวตสวนมติพรรคอย่างเปิดเผยโดยมิได้สนใจและนำพาต่อมติของพรรคแต่อย่างใด ประกอบกับหลักฐานแวดล้อมหลายกรณีตามบันทึกการสอบสวนเห็นว่า นางพรพิมล ได้จงใจฝ่าฝืนมติพรรค โดยเชื่อได้ว่าเป็นการได้รับการร้องขอ และมีประโยชน์ตอบแทนส่วนตน ถือว่าเป็นการกระทำความผิดวินัยพรรคอย่างร้ายแรง ซ้ำซาก ควรลงโทษสถานหนัก ทั้งนี้ การลงโทษถึงขั้นขับออกจากสมาชิกพรรค ตามรัฐธรรมนูญ ผู้นั้นสามารถไปหาพรรคใหม่สังกัดได้ภายใน 30 วัน จึงเห็นว่ายิ่งจะเป็นการสมประโยชน์ของฝ่ายรัฐบาลมากขึ้นไปอีก จึงเสนอให้กรรมการวินัยและจรรยาบรรณลงโทษทางวินัยในระดับภาคทัณฑ์ และใช้มาตรการทางปกครองที่เด็ดขาดคือ ไม่ให้เข้าร่วมกิจกรรมของพรรค และไม่ส่งสมัครในการเลือกตั้งครั้งต่อไป โดยไม่มีเงื่อนไขผ่อนปรนใดๆ ทั้งสิ้น
2.กรณี นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ส.ส.กทม. จากการตรวจสอบ และสอบสวนชี้ชัดว่า ส.ส.พลภูมิได้มีพฤติกรรม และการกระทำที่ฝ่าฝืนมติพรรคแม้จะอ้างเหตุผลด้วยความจำเป็น และเหตุผลส่วนตัว ก็ไม่สามารถนำมาเป็นข้ออ้างหักร้างแนวทางของพรรค และจริยธรรมทางการเมือง และไม่อาจใช้เป็นเหตุผลในการกระทำที่ขัดต่อมติของพรรคได้ แม้ว่าจะยังไม่ได้มีพฤติกรรมการกระทำผิดอย่างถึงที่สุด แต่ยังคงฝ่าฝืนมติพรรค โดยการพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณที่ผ่านมา ได้ลงมติไม่ประสงค์ลงคะแนน สวนทางกับมติของพรรคที่ให้งดออกเสียง แม้จะไม่ถึงขั้นลงมติเห็นชอบแบบราย นางพรพิมลก็ตาม
อย่างไรก็ตาม การจะพิจารณาลงโทษสถานหนักก็ยังมีเหตุผลเช่นเดียวกันว่า ในที่สุดก็จะเข้าทางความต้องการของฝ่ายรัฐบาล จึงเห็นควรใช้มาตรการทางปกครองให้พิจารณาความผิดโดยให้ภาคทัณฑ์ และไม่ให้เข้าร่วมกิจกรรมของพรรคเป็นเวลาหนึ่ง และพิจารณาไม่ส่งเป็นผู้สมัครของพรรคในการเลือกตั้งครั้งต่อไป เว้นแต่จะสามารถพิสูจน์ให้พรรคมั่นใจหรือมีการกระทำที่น่าเชื่อถือว่าจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเองให้อยู่ในระเบียบวินัยของพรรค
3.กรณี นายขจิตร ชัยนิคม ส.ส.อุดรธานี ถือว่าได้กระทำผิดวินัยร้ายแรงเช่นกัน ข้ออ้างและเหตุผลที่ชี้แจงถือว่าฟังไม่ขึ้น แต่พฤติกรรมคือเพียงแสดงตนให้เป็นองค์ประชุม แต่ในความประพฤติต่อมา ยังไม่เห็นแจ้งชัดว่ายังจงใจที่จะกระทำผิดเช่นเดิม จึงเสนอให้ดำเนินการภาคทัณฑ์ ไม่ให้เข้าร่วมกิจกรรมพรรคในระยะเวลาหนึ่ง และพิจารณาไม่ส่งลงเลือกตั้งในครั้งต่อไป จนกว่าจะมีข้อเสนอหรือพิจารณาเป็นอย่างอื่น
ทั้งนี้ ผลสรุปทั้ง 3 กรณีนี้ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงจะส่งผลการพิจารณาให้คณะกรรมการจริยธรรมของพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรคพิจารณาโดยลำดับ