นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยผลการใช้จ่ายงบประมาณปี 2560 ว่า ปีนี้กระทรวงอุตสาหกรรมได้รับงบประมาณจำนวนทั้งสิ้น 5,661 ล้านบาท หน่วยงานในสังกัด 7 กรม มีผลการเบิกจ่ายแล้ว 3,831 ล้านบาท คงเหลือ 1,830 ล้านบาท การเบิกจ่ายคิดเป็นร้อยละ 68 สำหรับภาพรวมผลการเบิกจ่าย จัดอยู่ในอันดับที่ 18 จากจำนวน 24 หน่วยงาน ที่เป็นหน่วยงานระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ซึ่งจะเร่งรัดการเบิกจ่ายและการทำงานของทุกหน่วยงานในสังกัด เพื่อช่วยผลักดันการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยผลงานที่โดดเด่นในช่วงครึ่งปีแรกของกระทรวงอุตสาหกรรม คือ การเข้าไปดูแลและช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอี ทั้งโครงการให้ความรู้และแหล่งเงินทุน ที่ล่าสุดได้ปล่อยสินเชื่อแล้วกว่าหมื่นล้านบาท ส่วนในครึ่งปีหลังกระทรวงอุตสาหกรรมจะยังคงทำงานเชิงรุก แต่จะเน้นขยายไปยังเอสเอ็มอีภูมิภาค ผ่านคณะกรรมการพัฒนาเอสเอ็มอีประจำจังหวัด เพื่อได้กำหนดทิศทางและจัดทำโครงการ ซึ่งสอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ และกระจายให้เข้าถึงผู้ประกอบการ
ขณะนี้นอกจากมีศูนย์สนับสนุนและช่วยเหลือเอสเอ็มอีทุกจังหวัดแล้ว จะมีศูนย์บ่มเพาะธุรกิจที่เปิดพื้นที่ มีเครื่องมือและโรงงานต้นแบบให้เอสเอ็มอีได้มาใช้ประโยชน์เกิดขึ้นอย่างน้อย 1 แห่งภายในเดือนกันยายนนี้ โดยนโยบายภาครัฐในปัจจุบันต้องการให้ เอสเอ็มอีจัดทำบัญชีเดียว ภาครัฐจะเพิ่มความรู้ในการปรับตัวสู่ยุค 4.0 และช่วยสนับสนุนการผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
นอกจากนี้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ยังสั่งการให้เร่งหาแนวทางเพื่อให้เอสเอ็มอีเข้าถึงเครื่องมือทางการเงิน ในระยะเร่งด่วน คือการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท ส่วนในระยะยาวคือ การปล่อยสินเชื่อในกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีของธนาคารพาณิชย์ ที่ปล่อยเงินกู้ค่อนข้างยากกว่าธนาคารรัฐ
ขณะนี้นอกจากมีศูนย์สนับสนุนและช่วยเหลือเอสเอ็มอีทุกจังหวัดแล้ว จะมีศูนย์บ่มเพาะธุรกิจที่เปิดพื้นที่ มีเครื่องมือและโรงงานต้นแบบให้เอสเอ็มอีได้มาใช้ประโยชน์เกิดขึ้นอย่างน้อย 1 แห่งภายในเดือนกันยายนนี้ โดยนโยบายภาครัฐในปัจจุบันต้องการให้ เอสเอ็มอีจัดทำบัญชีเดียว ภาครัฐจะเพิ่มความรู้ในการปรับตัวสู่ยุค 4.0 และช่วยสนับสนุนการผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
นอกจากนี้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ยังสั่งการให้เร่งหาแนวทางเพื่อให้เอสเอ็มอีเข้าถึงเครื่องมือทางการเงิน ในระยะเร่งด่วน คือการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท ส่วนในระยะยาวคือ การปล่อยสินเชื่อในกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีของธนาคารพาณิชย์ ที่ปล่อยเงินกู้ค่อนข้างยากกว่าธนาคารรัฐ