ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (14 ธ.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอีก 0.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ พร้อมกับส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปีหน้า
ดัชนีเฉลี่ยอุตสหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,792.53 จุด ร่วงลง 118.68 จุด หรือ -0.60% ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 5,436.67 จุด ลดลง 27.16 จุด หรือ -0.50% และดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 2,253.28 จุด ลดลง 18.44 จุด หรือ -0.81%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลง หลังจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอีก 0.25% สู่ระดับ 0.50-0.75% พร้อมกับส่งสัญญาณว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีหน้า ครั้งละ 0.25% โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ไมค์ โลเวนการ์ท นักวิเคราะห์ด้านกลยุทธ์การลงทุนจากบริษัทหลักทรัพย์อี-เทรด กล่าวว่า การที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ นับว่าสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด แต่การที่เฟดส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 3 ครั้งในปีหน้า ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่เหนือความคาดหมาย ทั้งนี้ แม้ว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยถือเป็นการบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ แต่ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นนั้น อาจจะส่งผลกระทบต่อภาคเอกชนที่ต้องพึ่งพาการกู้ยืม
ในการประชุมครั้งนี้ เฟดได้แสดงความเชื่อมั่นแต่แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ ด้วยการปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ขึ้นสู่ระดับ 1.9% จากระดับ 1.8% และปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวในปีหน้าขึ้นสู่ระดับ 2.1% จากระดับ 2.0%
หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มสินค้าเพื่อผู้บริโภค ปรับตัวลงกว่า 1% ขณะที่หุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวลง 0.1%
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง นำโดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ที่ดิ่งลง 2.2% หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงเมื่อคืนนี้
หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ปรับตัวลง 0.8% หลังจากมีรายงานว่า จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ได้ยุติการเจรจาซื้อกิจการบริษัทแอคเทเลียน ฟาร์มาซูติคัลส์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตยาของสวิตเซอร์แลนด์ เนื่องจากราคาเสนอขายสูงเกินไป ซึ่งเปิดทางให้บริษัทซาโนฟี เอสเอ ผู้ผลิตยารายใหญ่ของฝรั่งเศส เดินหน้าเจรจาเพื่อซื้อกิจการแอคเทเลียน ฟาร์มาซูติคัลส์
หุ้น IBM ขยับขึ้น 0.1% หลังจากนางจินนี โรเมตตี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ IBM ประกาศว่าทางบริษัทจะจ้างพนักงาน 25,000 คนในสหรัฐ และจะลงทุนมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สำหรับการฝึกอบรมในช่วง 4 ปีข้างหน้า
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนั้น สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจลดลง 0.2% ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดในรอบเกือบ 1 ปี ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ดีดตัวขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. และยอดค้าปลีกเดือนพ.ย.ขยับขึ้นเพียง 0.1% ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3%
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานประจำสัปดาห์, อัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ย., ดุลบัญชีเดินสะพัดประจำไตรมาส 3/2559, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนธ.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนธ.ค. จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) และตัวเลขการเริ่มสร้างบ้าน-การอนุญาตก่อสร้างเดือนพ.ย.
ดัชนีเฉลี่ยอุตสหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,792.53 จุด ร่วงลง 118.68 จุด หรือ -0.60% ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 5,436.67 จุด ลดลง 27.16 จุด หรือ -0.50% และดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 2,253.28 จุด ลดลง 18.44 จุด หรือ -0.81%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลง หลังจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอีก 0.25% สู่ระดับ 0.50-0.75% พร้อมกับส่งสัญญาณว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีหน้า ครั้งละ 0.25% โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ไมค์ โลเวนการ์ท นักวิเคราะห์ด้านกลยุทธ์การลงทุนจากบริษัทหลักทรัพย์อี-เทรด กล่าวว่า การที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ นับว่าสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด แต่การที่เฟดส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 3 ครั้งในปีหน้า ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่เหนือความคาดหมาย ทั้งนี้ แม้ว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยถือเป็นการบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ แต่ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นนั้น อาจจะส่งผลกระทบต่อภาคเอกชนที่ต้องพึ่งพาการกู้ยืม
ในการประชุมครั้งนี้ เฟดได้แสดงความเชื่อมั่นแต่แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ ด้วยการปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ขึ้นสู่ระดับ 1.9% จากระดับ 1.8% และปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวในปีหน้าขึ้นสู่ระดับ 2.1% จากระดับ 2.0%
หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มสินค้าเพื่อผู้บริโภค ปรับตัวลงกว่า 1% ขณะที่หุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวลง 0.1%
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง นำโดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ที่ดิ่งลง 2.2% หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงเมื่อคืนนี้
หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ปรับตัวลง 0.8% หลังจากมีรายงานว่า จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ได้ยุติการเจรจาซื้อกิจการบริษัทแอคเทเลียน ฟาร์มาซูติคัลส์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตยาของสวิตเซอร์แลนด์ เนื่องจากราคาเสนอขายสูงเกินไป ซึ่งเปิดทางให้บริษัทซาโนฟี เอสเอ ผู้ผลิตยารายใหญ่ของฝรั่งเศส เดินหน้าเจรจาเพื่อซื้อกิจการแอคเทเลียน ฟาร์มาซูติคัลส์
หุ้น IBM ขยับขึ้น 0.1% หลังจากนางจินนี โรเมตตี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ IBM ประกาศว่าทางบริษัทจะจ้างพนักงาน 25,000 คนในสหรัฐ และจะลงทุนมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สำหรับการฝึกอบรมในช่วง 4 ปีข้างหน้า
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนั้น สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจลดลง 0.2% ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดในรอบเกือบ 1 ปี ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ดีดตัวขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. และยอดค้าปลีกเดือนพ.ย.ขยับขึ้นเพียง 0.1% ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3%
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานประจำสัปดาห์, อัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ย., ดุลบัญชีเดินสะพัดประจำไตรมาส 3/2559, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนธ.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนธ.ค. จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) และตัวเลขการเริ่มสร้างบ้าน-การอนุญาตก่อสร้างเดือนพ.ย.