นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. (PTT) กล่าวว่า จังหวัด Binh Dinh ประเทศเวียดนามได้แจ้งอย่างไม่เป็นทางการว่า ขอยกเลิกโครงการวิกตอรีที่กลุ่ม ปตท.ได้หารือ เพื่อพัฒนาโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ เพราะจะพัฒนาพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นรีสอร์ท เพื่อรองรับการท่องเที่ยวของประเทศ หลังจากนี้กลุ่ม ปตท.ยังต้องรอหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการจากทางจังหวัดอีกครั้งหนึ่ง
นายเทวินทร์ กล่าวว่าอีก กลุ่ม ปตท.อาจจะต้องยกเลิกการลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์มูลค่าประมาณ 10,000-12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในจังหวัด Binh Dinh ของประเทศเวียดนาม ส่วนจะลงพื้นทีอื่นในเวียดนามหรือไม่ ได้มอบให้ บมจ.IRPC เป็นผู้ศึกษา ซึ่งอาจจะลงทุนในไทยแทนก็ได้
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ ปตท.ได้ศึกษาโครงการลงทุนโรงกลั่นและปิโตรคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม มูลค่า 18,000-20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และโครงการได้รับอนุมัติจากรัฐบาลกลางของเวียดนามตั้งแต่ปลายปี 2557 ซึ่งเดิมจะเป็นการลงทุนร่วมกับบริษัท ซาอุดิอารัมโก (Saudi Aramco) บริษัทน้ำมันแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย แต่ต่อมาทางซาอุดิอารัมโกได้ถอนตัว กลุ่ม ปตท.ได้มอบหมายให้ บมจ.IRPC ศึกษาโครงการดังกล่าวต่อไป
นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ IRPC กล่าวว่า เบื้องต้นกลุ่ม ปตท.มีแนวทางที่จะไปร่วมมือกับผู้ประกอบการรายอื่นที่ได้รับอนุญาตทำโครงการปิโตรเคมีในรูปแบบเดียวกันและมีผลการศึกษาโครงการแล้ว เพื่อดำเนินโครงการร่วมกัน ในเวียดนามพื้นที่อื่นๆ ซึ่งน่าจะทำให้เกิดโครงการได้รวดเร็วขึ้นกว่าการที่กลุ่ม ปตท.ศึกษาพื้นที่ลงทุน และศึกษาการลงทุนใหม่ในเวียดนาม ซึ่งจะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากมากกว่า โดยคาดว่าจะสรุปได้ 2-3 เดือน
ส่วนการจะดำเนินโครงการดังกล่าวในไทยเห็นว่า ยาก เพราะปัจจุบันไทยมีกำลังการกลั่นน้ำมันมากกว่าความต้องการใช้ ขณะที่ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) ยังมีแผนการขยายกำลังกลั่น แต่หากจะเป็นการขยายเฉพาะโครงการปิโตรเคมีในไทยน่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่า ซึ่งขณะนี้บริษัทก็ให้ความสนใจลงทุนในโครงการผลิตพาราไซลีน (PX) ด้วยเช่นกัน
นายเทวินทร์ กล่าวว่าอีก กลุ่ม ปตท.อาจจะต้องยกเลิกการลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์มูลค่าประมาณ 10,000-12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในจังหวัด Binh Dinh ของประเทศเวียดนาม ส่วนจะลงพื้นทีอื่นในเวียดนามหรือไม่ ได้มอบให้ บมจ.IRPC เป็นผู้ศึกษา ซึ่งอาจจะลงทุนในไทยแทนก็ได้
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ ปตท.ได้ศึกษาโครงการลงทุนโรงกลั่นและปิโตรคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม มูลค่า 18,000-20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และโครงการได้รับอนุมัติจากรัฐบาลกลางของเวียดนามตั้งแต่ปลายปี 2557 ซึ่งเดิมจะเป็นการลงทุนร่วมกับบริษัท ซาอุดิอารัมโก (Saudi Aramco) บริษัทน้ำมันแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย แต่ต่อมาทางซาอุดิอารัมโกได้ถอนตัว กลุ่ม ปตท.ได้มอบหมายให้ บมจ.IRPC ศึกษาโครงการดังกล่าวต่อไป
นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ IRPC กล่าวว่า เบื้องต้นกลุ่ม ปตท.มีแนวทางที่จะไปร่วมมือกับผู้ประกอบการรายอื่นที่ได้รับอนุญาตทำโครงการปิโตรเคมีในรูปแบบเดียวกันและมีผลการศึกษาโครงการแล้ว เพื่อดำเนินโครงการร่วมกัน ในเวียดนามพื้นที่อื่นๆ ซึ่งน่าจะทำให้เกิดโครงการได้รวดเร็วขึ้นกว่าการที่กลุ่ม ปตท.ศึกษาพื้นที่ลงทุน และศึกษาการลงทุนใหม่ในเวียดนาม ซึ่งจะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากมากกว่า โดยคาดว่าจะสรุปได้ 2-3 เดือน
ส่วนการจะดำเนินโครงการดังกล่าวในไทยเห็นว่า ยาก เพราะปัจจุบันไทยมีกำลังการกลั่นน้ำมันมากกว่าความต้องการใช้ ขณะที่ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) ยังมีแผนการขยายกำลังกลั่น แต่หากจะเป็นการขยายเฉพาะโครงการปิโตรเคมีในไทยน่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่า ซึ่งขณะนี้บริษัทก็ให้ความสนใจลงทุนในโครงการผลิตพาราไซลีน (PX) ด้วยเช่นกัน