xs
xsm
sm
md
lg

คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน 11 พฤศจิกายน 2559

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน วันนี้ ผมอยากขอคุยในเรื่องเบาๆ แต่ก็เป็นเรื่องที่สำคัญ ก็คือการดูแลประชาชน ผู้มีรายได้น้อยได้อย่างไร ที่จะต้องควบคู่ไปกับการลงทุน เดินหน้าประเทศไปสู่ ไทยแลนด์ 4.0 ทั้งนี้อยากเรียนอธิบายว่าการเดินหน้าสู่ 4.0 นั้นไม่ใช่ไม่สนใจผู้มีรายได้น้อย แต่มันจำเป็น ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการขยายช่องทาง เปิดกว้าง เพิ่มทางเลือก ให้ประชาชน ได้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้โดยการใช้ระบบดิจิทัล การใช้โทรศัพท์ สมาร์ทโฟน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ ใช้ประโยชน์ ค้าขายได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลางมากนักนะครับ หรือใช้การผ่านพ่อค้าคนกลางแต่เพียงอย่างเดียว เราต้องมีผลประโยชน์ เกื้อกูลกัน ถ้วนหน้านะครับ สำหรับพี่น้องประชาชนทุกระดับ ตั้งแต่ระดับบน กลาง และฐานราก ระยะแรก ประชาชน เกษตรกรควรต้องมีการรวมกลุ่มอาชีพ ในพื้นที่เดียวกัน เพื่อให้เกิดช่องทางใหม่ มีผลผลิตที่มีคุณภาพเป็นมวลรวม มีความสมบูรณ์ ควบคุมคุณภาพด้วยตนเอง เพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรอง ซึ่งเราคงไม่สามารถกดดัน หรือไปบังคับใครได้นะครับ ในระบบการค้าเสรีในปัจจุบัน แต่เราก็จะปล่อยให้ทุกคนมองเพียงไร่นาของตนเองแต่เพียงอย่างเดียวคงทำอย่างนั้นไม่ได้อีกต่อไป เราจำเป็นต้องเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ให้เกิดเป็นเกษตรแปลงใหญ่ มีการกำหนดความต้องการน้ำ ทั้งนี้ให้เป็นไปตามสภาพทรัพยากรน้ำที่เรามีอยู่ มีการคำนวณ ประมาณการ เพื่อให้สามารถจัดการปลูกพืชที่เหมาะสม เหลื่อมเวลา สอดคล้องกับตลาดรับซื้อ ทั้งบริโภคเองในประเทศ และส่งออกไปยังต่างประเทศ เราต้องคิดว่าจะทำอย่างไร ให้ผลผลิตทางการเกษตรของเรานั้น ไม่มีความชื้นมาก จนถูกตัดราคาโดยเฉพาะข้าว จะทำอย่างไร ให้เกษตรกรมีเครื่องมือเป็นของตนเอง ในชุมชน ในกลุ่ม ในสหกรณ์ หรือในวิสาหกิจชุมชนนะครับ รัฐบาลจำเป็นต้องหากลุ่มพลังของเกษตรกร เหล่านี้ให้เจอ ประชาชน เกษตรกร ข้าราชการ ผู้นำท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน น่าจะช่วยผม ช่วยรัฐบาลได้ตรงนี้ รวบรวมข้อมูลเหล่านี้ไว้ให้ได้ก่อน มีการรวมตัวกัน เป็นกลุ่มเป็นก้อน มีการขึ้นบัญชี จัดทำฐานข้อมูล เพื่อสนับสนุนการบริหารและการกำหนดนโยบายของรัฐบาลด้วย

ในปัจจุบันนั้นสหกรณ์มีอยู่ กว่า 8,000 แห่งทั่วประเทศ เป็นสหกรณ์ภาคการเกษตร กว่า 4,000 แห่ง จำเป็นต้องได้รับการเสริมสร้างความเข้มแข็ง โดยหากมีการรวมตัวกัน อย่างเป็นทางการ มีการลงทะเบียนที่ชัดเจน รัฐก็สามารถจัดสรรงบประมาณลงไปตรงจุดแก้ปัญหาอย่างมีระบบตรงตามเป้าหมาย และความต้องการซึ่งรวมทั้งการลดต้นทุน การจัดหาเครื่องจักร เครื่องสี เครื่องอบ เราไม่อาจแจกจ่ายทุกครัวเรือนได้หรือจะแก้ปัญหาทุกอย่างรายครอบครัวได้ เพราะฉะนั้นประชาชน เกษตรกร จะต้องสร้างความเข้มแข็งของตนเองด้วย ตามคำแนะนำของรัฐบาล หน่วยงานราชการ เราคงต้องเรียนรู้ ซึ่งกันและกันอีกมาก สำหรับหน่วยงานราชการของแต่ละกระทรวง ที่ได้น้อมนำ ศาสตร์พระราชามาจัดตั้งเป็นศูนย์การเรียนรู้กว่า 10,000 แห่ง ทั่วประเทศนั้น ทั้งศูนย์เรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ ศูนย์การเรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร และศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน เป็นต้น ทั้งนี้ก็เพื่อจะสร้าง Smart Farmer เกษตรกรยุคใหม่ ที่มีความเข้มแข็ง มีภูมิคุ้มกัน มีความรู้ เราต้องเฉลี่ยแบ่งปันกัน ถ้าเรามัวแต่แข่งขันกันเอง ลดราคา ตัดราคา แล้วก็ไม่ช่วยกันทำยุ้งฉางเหมือนในอดีตบ้าง ไม่เก็บผลผลิตไว้ได้เลย ไว้กิน ไว้ขาย ไว้ทำพันธุ์ อะไรก็แล้แต่ แล้วก็ไม่สามารถรวมกลุ่มกันได้ เราก็จะไม่มีพลังในการต่อรองกับใครได้เลย ลองดูคนอื่นที่เขาทำไปแล้วประสบความสำเร็จบ้าง หลายกลุ่ม หลายหมู่บ้านเขาทำได้แล้วกระทรวงเกษตรคงจะชี้แจงต่อไป

รัฐบาลนั้นเข้าใจว่า หากว่าเราสามารถสร้างความเข้มแข็ง ในระดับฐานรากได้นั้น ตรงกลาง ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าคนกลาง ผู้รับซื้ออื่นๆ ก็ไม่อาจจะสามารถผูกขาด ราคาได้ทั้งหมด จริงๆ แล้วในการทำธุรกิจนั้นก็ต้องเห็นใจกัน เขาก็จำเป็นต้องหาพืชผลภาคเกษตรกรรม ไปป้อนภาคอุตสาหกรรมให้ได้ ตลอดเวลา ในราคาถูกที่สุด เพื่อมีผลกำไรมากที่สุดโดยไม่ผิดกฎหมาย หากเราเข้มแข็ง พ่อค้าก็ต้องปรับตัว โรงงาน โรงสีก็ต้องปรับตัวไปด้วย ช่วยกันมองประโยชน์ของประชาชน และ ประเทศชาติ อาจจะต้องลดกำไรลงในช่วงนี้ เพราะพวกเราก็ต่างเป็นคนไทยด้วยกัน มันก็จะครบวงจร ตั้งแต่การผลิต การแปรรูป การสร้างนวัตกรรม และการตลาด ราคาทั้งห่วงโซ่ ก็จะดีขึ้น โดยอัตโนมัติ และกลไกการตลาดก็ต้องปรับตัวไปพร้อมๆ กันด้วย

ยกตัวอย่าง การรวมกลุ่มตาม โครงการข้าวขวัญสุพรรณ ซึ่งน้อมนำศาสตร์พระราชา ในเรื่องการระเบิดจากข้างใน ของมูลนิธิขวัญข้าว สมาคมโรงสีข้าวสุพรรณบุรี และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสุพรรณบุรี ในการร่วมพัฒนาพันธุ์ข้าวพื้นเมือง คือ ขาวตาเคลือบ ซึ่งเป็นสินค้าเด่นประจำจังหวัด และผลิตในลักษณะข้าวปลอดปุ๋ยเคมีและสารเคมีฆ่าแมลง นับว่าเป็นผลดีต่อทั้งสุขภาพชาวนาและผู้บริโภค รวมทั้งสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ที่สำคัญก็คือเกษตรกร ชาวนา ที่เข้าร่วมโครงการ สามารถเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนในการเพิ่มบทบาทตนเองในห่วงโซ่ จากผู้ผลิต เป็นผู้จำหน่ายได้อีกด้วย เป็นการปรับตัวเข้าหากันของทุกคน ในวงจรข้าว เพื่อจะช่วยพัฒนาตลาดข้าวไทยให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืน ภาพรวมพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ในปี 2559 ถึง 2560 เราคาดการณ์ว่าพื้นที่ปลูกข้าว ทั้งประเทศ 57.86 ล้านไร่ ในการเพาะปลูกข้าวนาปีนั้น รัฐบาลส่งเสริมให้ปรับเปลี่ยนพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมต่อการปลูกข้าว ด้วยพืช และปศุสัตว์ทดแทน ทั้งสิ้นจำนวน 570,000 ไร่ แบ่งเป็น เกษตรกรรมทางเลือกอื่น 420,000 ไร่ ส่งเสริมปศุสัตว์ 150,000 ไร่ ผลการดำเนินงาน อันนี้ที่มีผลสำเร็จแล้วสามารถปรับเปลี่ยนไปได้แล้ว กว่า 350,000 ไร่ โดยได้ปรับเป็น เกษตรกรรมพืชอื่นๆ 2 แสนกว่าไร่ และปศุสัตว์ กว่า 1 แสนไร่ สำหรับข้าวนาปรัง ฤดูกาลเพาะปลูกรอบที่ 2 คาดการณ์ว่าพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั้งหมด 9.26 ล้านไร่ รัฐบาลก็มีแผนจะส่งเสริมปลูกพืชอื่นทดแทน 2.52 ล้านไร่ และ คงพื้นที่ปลูกข้าวไว้ 6.74 ล้านไร่ และ ในฤดูกาลเพาะปลูก รอบที่ 3 คาดการณ์ว่าพื้นที่เพาะปลูก 500,000 ไร่ เราจะรณรงค์ให้ชาวนาพักแปลงเพื่อฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน

สำหรับพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั้งหมดของเรานั้น เราก็จะมีมาตรการส่งเสริมในเรื่องการลดต้นทุนการผลิต ลดและควบคุมราคาเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ค่าเช่าที่นา เพิ่มคุณภาพ ส่งเสริมการรวมกลุ่ม นาแปลงใหญ่ ถ่ายทอดเทคโนโลยีการทำนาแบบปราณีต สนับสนุนการตรวจรับรองมาตรฐานการผลิตที่ดี GAP และ บริหารจัดการน้ำชลประทาน รวมทั้ง เครื่องจักรกลการเกษตร สำหรับความก้าวหน้า หรือความสำเร็จตามนโยบายเกษตรแปลงใหญ่ของรัฐบาลนั้น สามารถดำเนินการได้แล้ว จำนวน 600 แปลง ด้วยความร่วมมือของประชาชน เกษตรกร และกลไกประชารัฐ โดยไม่ได้บังคับ มีเกษตรกรได้รับผลประโยชน์แล้ว ราว 97,000 ราย ครอบคลุมพื้นที่เกษตรกรรมประมาณ 1.5 ล้านไร่ ยังเหลืออีกประมาณหลายล้านไร่นะครับ ถ้าหากรวมเป็นกลุ่มกันได้ รัฐบาลพอจะจัดหางบประมาณ มาส่งเสริม เติมเต็มในส่วนที่ขาด ได้ตรงความต้องการ ตรงศักยภาพของแต่ละพื้นที่ หากต้องดูทั้งหมด ทุกกลุ่ม ทุกประเด็นปัญหา งบประมาณเราไม่มีพอ กระจัดกระจายกันมากเกินไป เพราะฉะนั้น การรวมกลุ่มกันได้นั้น นอกจากจะช่วยสร้างความเข้มแข็งด้วยตัวเองแล้ว รัฐบาลก็ยังจะหาทางให้การสนับสนุนอย่างบูรณาการ เช่น กรณี สินค้าข้าว สามารถเพิ่มผลผลิตเฉลี่ย ร้อยละ 13 และลดต้นทุนการผลิตได้ ร้อยละ 19 นอกจากนี้ ยังสามารถช่วยเหลือเกษตรกร ในเรื่ององค์ความรู้ การบริหารจัดการ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน การแปรรูป การเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ และการตลาด เป็นต้น

โดยแผนงานส่งเสริมการรวกลุ่มเป็นเกษตรแปลงใหญ่ ในปี 2560 มีเป้าหมายเพิ่มเติมอีก 400 แปลง เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ ที่เป็นสากล ที่สำคัญคือ เป็นไปตามแนวทางพระราชทาน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมุ่งหวังให้เกิดการรวมกลุ่มประชาชนเพื่อแก้ไขปัญหาหลักของชุมชนชนบท ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญประการหนึ่งของการพัฒนาแบบพึ่งพาตนเอง โดยเฉพาะการรวมตัวกันเป็นรูปของสหกรณ์ ดังนั้นในทุกพื้นที่ที่เสด็จพระราชดำเนิน ได้มีโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริขึ้นมาไม่ว่าลักษณะใด จะทรงเน้นเสมอถึงความจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นให้เกิดการรวมตัวกัน ในรูปแบบต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาที่ชุมชนเผชิญอยู่ร่วมกัน หรือเพื่อให้การทำมาหากินของชุมชนโดยส่วนรวมนั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด พอเพียงนะครับ จนเห็นได้ว่ากลุ่มสหกรณ์ในโครงการพระราชดำริ ประสบความสำเร็จหลายโครงการนั้น ก็ได้พัฒนาขึ้นมาจากการรวมตัวกันของราษฎรกลุ่มเล็กๆ ทั้งสิ้น

เรื่องเทคโนโลยีทันสมัย ดิจิทัล ในตลาดออนไลน์นะครับ ไม่อยากให้คิดว่าเป็นการแย่งตลาด หรือเป็นการเกื้อกูลให้กับใคร หากแต่เป็นการเปิดช่องทางสร้างเครือข่ายให้กับกลุ่มลูกค้ารายใหม่ ดังนั้น เกษตรกรต้องปรับตัว ต้องเข้มแข็ง รวมกลุ่มกันได้ เราก็สามารถกำหนดราคากันเองได้ เพื่อเป็นการก้าวสู่ไทยแลนด์ 4.0 ก็จำเป็นต้องสร้างระบบ และนวัตกรรมของเราเองบ้าง ควบคู่กับการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างๆ จากต่างประเทศ ยกตัวอย่าง การรวมกลุ่มเกษตรกรชาวอุตรดิตถ์ 24 ราย พื้นที่ 270 ไร่ มีผลผลิตรวมกว่า 150 ตันต่อปี ราคาขาย 50,000 บาทต่อตัน ภายใต้การสร้างแบรนด์ ที่เป็นการน้อมนำศาสตร์พระราชามาสู่การปฏิบัติกว่า 14 ปี ใช้เวลายาวนานไหม เราต้องเร่งกันพัฒนา ทั้งเรื่องการรวมกลุ่มเป็นศูนย์ข้าวชุมชน และการคิดครบวงจร อันได้แก่ การทำเกษตรอินทรีย์ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และเป็นที่ต้องการของตลาด การผลิตเมล็ดพันธุ์ และการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ปลอดสารพิษใช้เองภายในกลุ่ม การถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่สมาชิก การสร้างเครือข่าย การสร้างแบรนด์ และตลาดเชิงรุก โดยส่งขายกลุ่มลูกค้าออนไลน์ และกลุ่มที่นำไปขายต่อ สามารถขายส่งกิโลกรัมละ 50 บาท ขายปลีกกิโลกรัมละ 70 บาท เป็นต้น

เกษตรอินทรีย์ ในการปลูกพืชที่ต้องอาศัยน้ำ เราจำเป็นต้องเข้าใจข้อมูลพื้นฐาน ทั้งเรื่องน้ำ ระบบเก็บกักน้ำ ส่งน้ำ ทั้งในและนอกเขตชลประทาน ปัจจุบันประเทศไทยนั้นมีพื้นที่ทำการเกษตรอยู่ในเขตชลประทาน 120 หรือเพียง 30 ล้านไร่ ในขณะที่พื้นที่เกษตรกรรมส่วนใหญ่อยู่นอกเขตชลประทาน ร้อยละ 80 หรือราว 120 ล้านไร่ รัฐบาลไม่อาจสามารถหาน้ำได้สมบูรณ์ทั้งหมด รัฐบาลสามารถบริหารจัดการน้ำให้เป็นระบบได้ ให้เพียงพอต่อความต้องการใช้สอยของประเทศได้ น้ำกินน้ำใช้ น้ำป้อนภาคการผลิต นำให้ภาคเกษตรกรรม และภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งน้ำเพื่อรักษาระบบนิเวศ ถ้าเราเก็บกักน้ำไม่ได้ ประชาชนมีการขัดขวางในเรื่องของการขุด การสร้างเขื่อนที่จำเป็น หรือการทำแก้มลิง หรือการทำทางระบายน้ำ เมื่อถึงฤดูน้ำหลากปริมาณน้ำมากขึ้น เราจะบริหารจัดการได้อย่างไรไม่ให้ท่วม ไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน ไม่ให้เกษตรกรเดือดร้อน และเราจำเป็นต้องมีน้ำเหลือไว้ใช้ยามแล้งอีกด้วย

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าน้ำน้อยหรือมากก็ตาม รัฐบาลจำเป็นต้องเข้าไปจัดระเบียบการใช้น้ำในพื้นที่ ไม่ให้เหลื่อมล้ำกัน เฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข มันจะพอบรรเทาความเสียหายทั้งหมดได้ ต้องปลูกพืชให้ลดหลั่นมาตามน้ำที่มีอยู่ หรือทำเป็นปฏิทินการทำเกษตรกรรมของประเทศที่สอดคล้องกัน ทั้งบัญชีประเภทพืช พื้นที่ ฤดูกาล ปริมาณน้ำ และตลาด โดยใช้ปฏิทินแมพ แผนที่ทางการเกษตรเป็นคู่มือด้วย ร่วมกับคำแนะนำของรัฐบาล ทำให้ทุกอย่างแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว รัฐบาลยืนยันว่าเราต้องทำไปควบคู่กันทั้งเรื่องการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เพื่อคนทุกคนนะครับ และให้ใช้นานที่สุดในประเทศไทย โดยเราต้องรักษาสมดุลด้านการพัฒนาด้วย ในการดูแลคนไทยทุกกลุ่ม ทุกอาชีพ เราไม่ได้มีเกษตรกรอย่างเดียวนะครับ เกษตรกรเลี้ยงคนทั้งประเทศ แต่จำเป็นต้องมีหลายอาชีพ เราต้องดูแลด้วย

สำหรับเรื่องการกักเก็บน้ำ ลองช่วยกันคิดว่าเส้นทางน้ำจากภาคเหนือ ไหลลงสู่ภาคกลาง และลงสู่อ่าวไทย โดยภาคเหนือนั้น เรามีแม่น้ำปิง วัง ยม น่าน เป็นระบบระบายน้ำ และมีเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ภาคเหนือตอนล่าง และภาคกลาง มีเพียงแม่น้ำเจ้าพระยา และเราไม่มีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่จะรองรับปริมาณจากภาคเหนือทั้งหมดได้ ดังนั้น หากเราไม่มีระบบระบายน้ำที่ดี เสี่ยงต่อสถานการณ์น้ำท่วมตลอดเวลา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์น้ำล้นตลิ่งเสมอ หากไม่สามารถน้อมนำแนวทางพระราชดำริ ศาสตร์พระราชาในเรื่องแก้มลิง มาประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หาพื้นที่ทำแก้มลิงไม่ได้ สร้างที่เก็บน้ำ หรือเขื่อนอะไรไม่ได้เลยเราจะระบายน้ำไปที่ไหนครับ เราจะเก็บกักน้ำไว้ที่ไหนในหน้าแล้ง เพราะฉะนั้น มีปัญหาอยู่บ้างที่ประชาชน และปัญหาในการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ วันนี้เป็นปัญหาหลักของเรา เราเลยต้องอยู่กับธรรมชาติตลอดมา น้ำมากก็ท่วม น้ำน้อยก็แล้ง เราต้องคิดบริหารจัดการให้ได้นะครับ อยู่กับธรรมชาติให้ได้ ไม่งั้นต้องเดือดร้อนเหมือนเดิม หากเราไม่สร้างความยั่งยืน และหากเราปล่อยน้ำจนหมด หน้าแล้งจะไม่มีน้ำเก็บไว้ใช้ และหากมวลน้ำไหลจากภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน ผ่านเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท สู่กรุงเทพฯ เกินกว่าปริมาณ 2,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และเราระบายลงทะเลไม่ทัน จะเกิดน้ำท่วมทั้งกรุงเทพฯ ทั้งภาคกลาง เพราะเป็นพื้นที่ต่ำ กักไว้รอเวลาเก็บเกี่ยวก็ท่วมแปลงเกษตร ปล่อยไปก็ไม่ได้ กักไว้นานก็เสี่ยง เราต้องคำนวนให้สัมพันธ์กันกับภาวะน้ำทะเลหนุนด้วย เพราะระบายไม่ออก

ดังนั้น รัฐบาลมองว่า หากเราปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป พื้นที่้น้ำท่วมจะเพิ่มขึ้นในอนาคตจากจำนวน 1.66 ล้านไร่ เป็น 4.12 ล้านไร่ ที่จะสร้างความเสียหายมากขึ้น จากประมาณ 25,000 ล้านบาทต่อปี เป็น 150,000 ล้านบาทต่อปี สิ่งเหล่านี้คือความเสียหายจากน้ำท่วมน้ำแล้ง น้ำน้อยก็เก็บกักไว้ ไม่ปล่อยไปที่อื่น ทุกคนเลยเดือดร้อนหมด บานปลาย ใช้งบประมาณมากมาย ทั้งการดูแล การฟื้นฟู ขอร้องให้ช่วยกันคิด รัฐบาลปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้อยู่แล้ว แต่การแก้ไขอย่างยั่งยืนต้องทำทั้งระบบ ต้องมีส่วนร่วม ขอร้องเอ็นจีโอ นักอนุรักษ์ ต้องมองในมุมนี้ด้วย เพราะฉะนั้น ผลงานด้านสิทธิมนุษยชน อาจออกมาดีในสายตาของโลกภายนอก แต่ประชาชนของเรายากจน เกษตรกรเดือดร้อน พัฒนาไปด้วยไม่ได้ เพราะฉะนั้น มาติเตือนให้รัฐบาลต้องรับผิดชอบ ไม่ค่อยเป็นธรรมเท่าไหร่นะ ทำอยู่แล้ว แต่เราควบคุมธรรมชาติให้สามารถมีน้ำมาก มีฝนตกมาก หรือมีฝนตกน้อยเกินไปไม่ได้อีก ป่าไม้ถูกทำลายไปมากในอดีตที่ผ่านมา พื้นที่ที่ฝนตกเลื่อนลงมาใต้เขื่อนจากปรากฏการณ์ต่างๆ ของอากาศที่เปลี่ยนแปลง เราก็เก็บน้ำไม่ได้ในเขื่อนเดิมที่เรามีอยู่ น้ำจะสะสมในพื้นที่นอกเขื่อน หรือใต้เขื่อนเดิม และเอ่อล้นไหลต่อลงมาภาคกลางจนเกิดผลเสียหายตามที่ผมกล่าวไว้ในข้างต้น เพราะฉะนั้น ประเทศเรามีความเสี่ยงสูง ทั้งฝนตกน้อย หรือตกมาก เกินความต้องการ ทั้งนี้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศโลกในปัจจุบัน มีผลกระทบกับทุกประเทศในโลกนี้

เรื่องบริหารจัดการน้ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแนวทางไว้แล้วทั้งหมด เราได้ทำสำเร็จแล้วบ้างบางพื้นที่ ขณะที่บางพื้นที่ทำไม่ได้ ประชาชนไม่เข้าใจและปัญหาที่มียาวนานของเกษตรกร มีการต่อต้านจากเอ็นจีโอ และร้องเรียนในโครงการที่น่าจะแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืนได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้น เมื่อเดือดร้อนก็เรียกร้องจากรัฐบาล เราก็ได้แต่เพียงใช้เงินเยียวยา และหมดไปสิ้นเปลือง แก้ปลายเหตุ เฉพาะหน้า ไร้อนาคต ไม่ยั่งยืน ช่วยกันคิดนะครับ และหากว่าทุกท่านเห็นว่ามีการแก้ปัญหาที่ดีกว่านี้ ที่ผมได้เสนอมาแล้วก็ให้ทุกคนมีความร่วมมือด้วย ไม่งั้นเสนอมาแล้วรัฐบาลก็ทำไม่ได้อีก เพราะไปเจอปัญหาเดิม รัฐบาลพร้อมจะรับฟังทุกอย่าง ไม่เคยไปต่อว่าใครทั้งสิ้น ขออย่างเดียวคือความร่วมมือ อาจจะร่วมมือไม่เท่าที่ควรที่ผ่านมา วันนี้ต้องขอแล้ว ถ้าไม่เข้าใจนโยบายที่เราจะสร้างความเข้มแข็งแก้ปัญหาแบบยั่งยืน รัฐบาลต้องรับผิดชอบอย่างเดียวหาน้ำ หาตลาด รวมทั้งให้มีการรับซื้อผลผลิตในราคาสูง มันก็เป็นส่วนหนึ่งในการที่เราต้องทำเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแต่เป็นอันตรายต่อการใช้นโยบายทางการเมืองในการแก้ปัญหาที่ปลายทางเลยไม่ได้ย้อนกลับไปแก้ที่ต้นเหตุ ซึ่งเรารู้ดีอยู่แล้วทุกปัญหา เราต้องแก้ระยะยาวครบวงจร ไม่งั้นปัญหาเรื่องนี้ก็จะคงอยู่ตลอดไปตราบลูกหลาน

ผมยืนยันถ้าเรามองปัญหาผิวเผินแก้ปัญหาขอไปที วันหน้ามาใหม่ก็ไม่มีใครแก้ได้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใดก็ตาม รัฐบาลนี้พยายามแก้ปัญหาให้ได้ตามที่ผ่านมา หรือในพื้นที่ที่มีประชาชนเข้าใจ ไม่มีการต่อต้านมากนักได้รับความร่วมมือแต่ก็ยังไม่ได้รับความต่อเนื่องเชื่อมโยงเกื้อกูลกัน เพราะทำไม่ได้ทุกพื้นที่ การแก้ปัญหาต้องเข้าใจคำว่า ต้องทำทั้งระบบครบวงจร ไม่ว่าเป็นวงจรการเกษตร วงจรน้ำของประเทศ การปล่อยน้ำ การระบายน้ำจากพื้นที่หนึ่งไปพื้นที่อื่นด้วยระบบชลประทาน แก้มลิง กระจายไปพื้นที่ที่เตรียมไว้รองรับในบางพื้นที่ทำไม่ได้ แล้วเราจะแก้ปัญหากันได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม ผมขอขอบคุณผู้ที่เสียสละช่วยบางพื้นที่แก้ปัญหาได้สำเร็จในพื้นที่แก้มลิงบ้าง เป็นพื้นที่เก็บน้ำชั่วคราวได้บ้าง แต่ก็เห็นใจต้องรับภาระแทนพื้นที่อื่นๆอยู่เสมอ ขอให้คนอื่นช่วยด้วย

ในปัจจุบันที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการแผนงานการบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่เจ้าพระยาตอนล่าง และให้บรรจุไว้ในโครงการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการต่อไป จะแบ่งการปฏิบัติเป็น 2 ฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยาดังนี้ 1.เรื่องการระบายน้ำฝั่งตะวันตก ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำแม่น้ำท่าจีน ซึ่งมีทั้งหมด 23 คุ้งน้ำ ปรับปรุงช่วงที่แคบ 105 กิโลเมตร แล้วก็ตัดช่องลัด 4 แห่ง จะสามารถย่นระยะทางน้ำจาก 50 กิโลเมตร เหลือเพียง 10 กิโลเมตร เหมือนแนวทางพระราชดำริคลองลัดโพธิ์ รวมทั้งการปรับปรุงโครงข่ายระบบชลประทานเดิม ตั้งแต่คลองมหาสวัสดิ์ จนถึงชายทะเล 2.การระบายน้ำฝั่งตะวันออก เช่น การปรับปรุงขยายระบบชลประทานเดิม เพิ่มศักยภาพในการระบายน้ำขึ้น 2 เท่า จาก 200 เป็น 400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที การปรับปรุงคลองชัยนาท- ป่าสัก ให้หระบายน้ำได้มากขึ้น 4 เท่า รวมทั้งการหาพื้นที่รับน้ำนอง และการขุดลอกปรับปรุงแม่น้ำเจ้าพระยาบางแห่ง เป็นต้น แผนการดังกล่าวจะช่วยตัดน้ำหลากหน้าเขื่อนเจ้าพระยาและเขื่อนพระราม 6 ได้ 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จะช่วยให้แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำท่าจีนสามารถระบายน้ำได้ รวม 3,100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และจะมีพื้นที่เก็บกักน้ำหลากไว้ในคลองที่ขุดใหม่เพิ่มเติมประมาณ 200 ล้านลูกบาศก์เมตร และช่วยลดพื้นที่น้ำท่วมได้ถึง 3.58 ล้านไร่ใน 14 จังหวัด ขอความร่วมมือ คววามเข้าใจ ไม่งั้นทำไม่ได้อีก สำหรับความคืบหน้าของโครงการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการทั้งระบบของรัฐบาลนี้ มีความคืบหน้าไปมากเมื่อเทียบกับ 21 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ 30-57 ก่อนที่รัฐบาลนี้จะเข้ามาบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ ตามแนวทางพระราชดำริ ยกตัวอย่างเช่น

1.การจัดหาแหล่งน้ำบาดาลช่วยภัยแล้ง 27 ปีที่ผ่านมา ไม่ปรากฏมีการดำเนินการเพิ่มเติมแต่อย่างใด แต่นับจากปี 2557 ของรัฐบาลนี้ได้ดำเนินการขุดแหล่งน้ำบาดาลแล้วจำนวน 2,500 กว่าแห่ง น้ำกว่า 100 ล้านลูกบาศก์เมตร และมีพื้นที่รับน้ำกว่า 157,000 ไร่

2.บาดาลเพื่อการเกษตร 27 ปีที่ผ่านมา ทำได้เพียง 1,300 กว่าแห่ง รัฐบาลนี้ทำได้ 2,300 กว่าแห่งใน 2 ปี มีพื้นที่รับน้ำกว่า 122,000 ไร่

3.ประปาหมู่บ้าน 27 ปีผ่านมา ทำได้ 12,000 กว่าแห่ง 2 ปี รัฐบาลนี้ทำได้ 5,700 กว่าแห่ง

4.การป้องกันและลดการพังทลายหน้าดิน ซึ่งเป็นอีกกิจกรรมที่อาจจะไม่เคยดำเนินการมาก่อน แต่ก็มีความสำคัญในวงจรน้ำ และระบบการระบายน้ำ รัฐบาลนี้ได้ดำเนินการไปแล้วครอบคลุมพื้นที่กว่า 670,000 ไร่ ใน 2 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามรัฐบาลนี้จะพยายามทำต่อไปให้ได้มากที่สุด

สำหรับป่าที่บุกรุกเราต้องหยุดการแผ้วถางป่า ไม่ให้เกิดการบุกรุกใหม่โดยเด็ดขาด มีการช่วยกันปลูกป่าตามหลักวิชาการ พร้อมกับให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัย มีที่ดินทำกินไปด้วย อยู่ร่วมกับป่า ปลูกป่า ดูแลป่าชุมชน สร้างป่าเศรษฐกิจ แต่ต้องดำเนินการอย่างถูกกฎหมาย รัฐบาลประกาศพื้นที่ที่มีการบุกรุกมาแล้ว แล้วเราจำเป็นต้องเอาคืน ก็ไม่ใช่ยึดมาแล้วแล้วก็ได้ที่กลับมาไม่สนใจประชาชน เราเข้าใจ เราต้องหาหนทางในการให้ความช่วยเหลือเยียวยาประชาชนให้ได้มากที่สุด เราจะไม่ช่วยเหลือใครก็ตามที่สนับสนุนการบุกรุกป่าอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นนายทุน ผู้มีอิทธิพลต่างๆ ก็ตาม ทุกคนต้องยอมรับกฎหมาย ที่ผ่านมาหลายสิบปี ไม่สนใจ ละลายการบังคับใช้กฎหมาย ไม่ตรงไปตรงมาเช่นวันนี้อาจทำให้บางคนเดือดร้อน ในปัจจุบันก็เป็นสิ่งจำเป็น เราพยายามให้เดือดร้อนน้อยที่สุด มีมาตรการรองรับใช้หลักนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์อย่างสมดุล จะไม่ให้รัฐบาลทำอะไรเลยก็เป็นไปไม่ได้

ภาพที่สังคมเห็นตามสื่อวันนี้ก็คือมีผู้เดือดร้อนเป็นผู้มีรายได้น้อยเป็นส่วนใหญ่ เราก็พยายามแก้ให้อยู่ ถ้าเรามองดูแล้วนายทุนที่อาจจะไม่ดีอยู่บ้าง ผู้มีอิทธิพลที่ยังหลงเหลืออยู่อาจจะใช้ประชาชนบังหน้า เกษตรกรบังหน้า สร้างความเสียหายในวงกว้าง เพราะว่ามีศักยภาพสูง วันนี้ต้องปรับตัวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นประชาชนผู้มีรายได้น้อย นายทุน ผู้มีฐานะ ต่างก็ต้องเคารพกฎหมาย อยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน วันนี้รัฐบาลพยายามจะรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย กลับมาสู่ครรลองของกฎหมายที่ถูกต้อง หากว่าเราปล่อยปละละเลยคนหนึ่งคนใดคนหนึ่งก็จะร้องเรียนเป็นปัญหาไปอีก รักษาความยุติธรรมไม่ได้ แก้ปัญหาไม่ได้ในที่สุด

เรื่องการปลูกป่านี้ผมขอชื่นชม ร.ต.ต.วิชัย สุริยุทธ หรือที่คนไทยรู้จักในนาม ดาบวิชัย ซึ่งน้อมนำแนวทางพระราชดำริปลูกป่าในใจคน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากโครงการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง แล้วก็เริ่มปลูกป่าด้วย 2 มือของเขาเอง มากกว่า 30 ปี ไม่สนใจว่าใครจะคิดหรือเข้าใจใดๆหรือไม่ อย่างไร แต่ต้นไม้ 3 ล้านต้นที่เขาปลูกขึ้นมาแล้วนั้นเป็นแรงบันดาลใจของเยาวชนและคนไทยอีกเป็นจำนวนมากในการทำดีเพื่อพ่อถวายในหลวง และเป็นประโยชน์ต่อสังคม ประเทศชาติโดยรวม กลุ่มอื่นๆที่ร่วมอนุรักษ์ร่วมกันปลูกป่าก็ขอชื่นชมไปด้วย

สำหรับเรื่องการจัดระเบียบรถ ที่จอดรถ เส้นทางจราจร การรับส่ง รวมทั้งการขายของบนทางเท้าริมถนน จริงๆแล้วไม่ใช่วิถีชีวิตหรือวัฒนธรรมทีดี่งามของไทยอย่างแท้จริง มันเริ่มมาตั้งแต่มีการปล่อยปละละเลยในช่วงเวลาที่ผ่านมาหลายปีเกิดเป็นความเคยชิน นอกจากจะก่อให้เกิดความไม่เป็นระเบียบในสังคมแล้ว ยังเป็นช่องทางการเรียกรับผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่ เกิดการฉ้อราษฎร์บังหลวง และความไม่เท่าเทียมในสังคมกับประชาชนกลุ่มอื่น ผู้ใช้เส้นทางสัญจร ที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย ไม่ได้รับความสะดวกกลับถูกละเมิดสิทธิ์ แบบนี้ถือว่าไม่เป็นธรรม ขอความร่วมมือด้วย ไม่อยากให้อ้างว่าเป็นผู้มีรายได้น้อย แล้วเราไปขับไล่เขามันไม่ใช่ เราจะละเมิดกฎหมายไม่ได้ ทุกคนต่างต้องเข้าใจและเห็นใจ รัฐบาลเองก็พยายามมีมาตรการรองรับ เช่น การจัดสรรพื้นที่ใหม่ให้มีระเบียบ มีที่จอดรถ สะดวกทั้งผู้ซื้อผู้ขาย ช่วงแรกอาจจะต้องปรับตัว ไม่สะดวกสบายมากนัก ยังขายไม่คล่องเพราะไม่คุ้นชินกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่ แต่ผมว่ามันจะสร้างความสบายใจกว่าเดิมกับทุกฝ่ายขอให้เห็นใจการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ด้วย รัฐบาลก็พร้อมที่จะทำให้มีความเดือดร้อนน้อยที่สุดเราต้องร่วมมือกัน ไม่ว่าจะรายได้น้อยรายได้สูงอะไรก็ตาม เราต้องแก้ไขด้วยกฎหมาย แล้วก็รักษากฎกติกาที่ชัดเจนต่อไป

พ่อแม่พี่น้องชาวไทยทุกท่าน เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายปัญหาของประเทศมีต้นตอของปัญหามาจากระบบการศึกษา และกระบวนการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงของประเทศ รวมความไปถึงการพัฒนาประเทศไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ตามนโยบายรัฐบาล ดังนั้นเราต้องให้ความสำคัญอย่างมากกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ จำเป็นต้องมีกาปฏิรูปการศึกษาอย่างเป็นระบบ ปัจจุบันประเทศไทยก็มีปัญหาหนึ่งก็คือ ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก ที่มีอยู่จำนวนมากกว่า 15,000 โรงเรียน กว่า 900 โรงเรียนมีนักเรียนน้อยกว่า 20 คน บางโรงเรียนมีนักเรียน เพียง 15 คน แต่มีครู 3 คน รัฐบาลยังคงต้องสนับสนุนงบประมาณเพื่อการศึกษา และจัดหาสื่อการเรียนการสอนให้กับทุกโรงเรียนที่ผ่านมา นับว่าเป็นรากเหง้าหนึ่งของปัญหาครูไม่ครบชั้น นักเรียนได้รับการศึกษาต่ำ การบริหารงบประมาณไม่คุ้มค่า ไม่มีประสิทธิภาพ เป็นต้น เหล่านี้เป็นปัญหาการศึกษาที่สะสมมาอย่างยาวนานปัญหาหนึ่ง ซึ่งส่งผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคมของประเทศ แต่ไม่ค่อยได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง รัฐบาลนี้กำลังแก้ไขปัญหาบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก โดยให้ชุมชนซึ่งมีโรงเรียนตั้งอยู่ ได้มีการปรึกษาหารือกัน เพื่อกำหนดโรงเรียนดีใกล้บ้าน หรือเรียนว่าโรงเรียนแม่เหล็ก สำหรับเป็นโรงเรียนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ให้มีคุณภาพการศึกษาที่ดีและได้มาตรฐาน มีสัดส่วนครูที่เหมาะสม มีสื่อการเรียนรู้ ห้องเรียน สนามกีฬา และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่มีความสมบูรณ์ สำหรับโรงเรียนที่ไม่มีนักเรียนแล้ว ก็จะให้ชุมชนตัดสินใจในการใช้ประโยชน์ต่อไป อาจจะเป็นศูนย์การเรียนรู้ ศูนย์ดูแลเด็กเล็ก หรือศูนย์ฝึกวิชาชีพสำหรับชุมชนต่อไปได้ รัฐบาลพร้อมที่จะให้การสนับสนุน

ในห้วงปีที่ผ่านมานั้น มีผลของการดำเนินการดังนี้ เราได้มีการยุบโรงเรียนขนาดเล็กไปแล้วจำนวน 286 โรงเรียน และจะดำเนินการในปีการศึกษาหน้าอีก 309 โรงเรียน ส่งผลให้มีครูเกือบ 2 พันคน จากโรงเรียนที่ถูกยุบย้ายไปสอนในโรงเรียนใกล้บ้าน 310 โรงเรียน ทั้งนี้จากผลการประเมินทราบว่า นักเรียนมีความสุขมากขึ้น ผู้ปกครองมีความพึงพอใจ ขอขอบคุณผู้ปกครอง ชุมชน ที่เข้าใจและให้ความร่วมมือนะครับ รัฐบาลมุ่งหวังจะดูแลลูกหลานของท่านให้ดีที่สุด ให้ได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ เช่นเดียวกันกับเด็กที่อยู่ในเมือง หรือในโรงเรียนขนาดใหญ่ให้มีความเท่าเทียมกันในอนาคต

สำหรับในเรื่องของการพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐานนั้น ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญในความสำเร็จของการพัฒนาการศึกษา รัฐบาลโดยคณะทำงานโครงการสานพลังประชารัฐและการศึกษาพื้นฐาน และการพัฒนาผู้นำได้ดำเนินการโดยอาศัยหลักการสำคัญก็คือ การเรียนการสอนที่มุ่งเน้นให้เด็กเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ เด็กสามารถวิเคราะห์และปฏิบัติได้ด้วยตัวเอง เน้นความรับผิดชอบต่อสังคม มีคุณธรรมและจริยธรรม รวมทั้งนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาสนับสนุน โดยน้อมนำแนวทางพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ว่า เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต ไม่มีจิตใจ การจะอบรมโดยใช้สื่อที่ก้าวหน้ามีเทคโนโลยีสูงแต่เพียงอย่างเดียวนั้น เป็นเรื่องยากที่สุด ไม่มีอะไรทดแทนคนสอนคน และการหาจากหนังสือได้นะครับ แสดงให้เห็นว่าครูอาจารย์มีความสำคัญอย่างยิ่งในการที่จะสอนคนให้เป็นคน คือมีความรู้คู่คุณธรรม

นอกจากการพัฒนาครูแล้ว รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับผู้อำนวยการโรงเรียน ผู้บริหารการศึกษาระดับต่างๆ รวมทั้งการมีส่วนร่วมของชุมชนในการที่จะร่วมกันพัฒนาการศึกษาในแต่ละท้องถิ่นของตัวเอง กลไกประชารัฐนั้นที่มีผลกับการพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐานนั้น ปัจจุบันมีความคืบหน้าไปมาก ภายใต้โครงการ CONNEXT-ED เพื่อจะดูแลโรงเรียนในช่วงแรกจำนวน 3,342 แห่ง และจะขยายให้ครบ 7,424 แห่ง ในปี 2560 ให้เป็นโรงเรียนต้นแบบประชารัฐในทุกตำบลทั่วประเทศ โดยการทำงานร่วมกันของผู้นำรุ่นใหม่กับผู้อำนวยการโรงเรียน ทั้งแผนการพัฒนาการศึกษาตามระบบของแต่ละโรงเรียน การพัฒนาโรงเรียนโดย 12 องค์กรเอกชนที่ร่วมโครงการ จะพิจารณาสนับสนุนงบประมาณโรงเรียนละ 5 แสนถึง 1 ล้านบาท เพื่อยกระดับการศึกษาพื้นฐานสู่มาตรฐานสากล ซึ่งในอนาคตจะจัดตั้งกองทุนกองทุนศึกษาวิจัย ในการเพิ่มศักยภาพการส่งเสริม และพัฒนาความเป็นเลิศด้านการศึกษา การค้นคว้าวิจัย เทคโนโลยีอนาคตใน 4 ด้าน คือ ไบโอ นาโน โรโบติก และดิจิทัลนะครับ ที่มุ่งเน้นสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมของผู้นำรุ่นใหม่ เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาและวิจัยระดับภูมิภาคให้สอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ในการที่จะผลิตแรงงานทักษะที่มีฝีมือ เพื่อป้อน 4 อุตสาหกรรมเป้าหมาย รวมทั้งการขับเคลื่อน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ด้วยนวัตกรรมของประเทศไทยเอง

ผมย้ำว่าทุกความสำเร็จในการพัฒนาประเทศนั้น เราต้องอาศัยความร่วมมือกันทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาควิชาการอย่างจริงจัง เพื่อจะสร้างอนาคตของประเทศ ด้วยการพัฒนาคุณภาพคนไทยทุกกลุ่ม ทุกพื้นที่ให้ได้รับโอกาสทางการศึกษา มีความเท่าเทียมกัน ผมขอความร่วมมือจากครู นักเรียน ผู้ปกครอง ประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดด้วย

สุดท้ายนี้ผมขอชื่นชมจิตอาสา และทุกภาคส่วนที่ร่วมกันถวายพระเกียรติ และร่วมกันทำดีเพื่อพ่อในการดูแลซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทางมากราบถวายบังคมพระบรมศพ ของพี่น้องประชาชนจากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ณ พื้นที่ท้องสนามหลวง และพระบรมมหาราชวัง การรวมพลังเพื่อเอาชนะความเสียใจ ความเศร้าโศก เปลี่ยนให้เป็นพลังในการสร้างสรรค์ เกิดความร่วมมือ ผมถือว่าเป็นกุศลยิ่งใหญ่นะครับที่คนไทยจะร่วมกันทำถวายในหลวงของเรา แม้ว่า 10 กว่าปีที่ผ่านมานั้น เราอาจจะขาดพลังขับเคลื่อน ขาดการเรียนรู้ ขาดสมาธิ ขาดแรงกระตุ้นในทางที่ดี เพราะมีความไม่สามัคคีกัน ทะเลาะขัดแย้ง ติดกับดักตัวเอง ความคิดตัวเอง จนทำให้ประชาชนนั้นไม่ได้รับโอกาสการอัดฉีดขีดความสามารถในการแข่งขัน และขาดการสร้างความเข็มแข็งอย่างเป็นระบบ ระเบียบ อย่าให้เราต้องย้ำอยู่กับที่ หรือดีขึ้นช้ากว่าที่ควรจะเป็น เราอาจจะก้าวไม่ทันโลก ไม่ทันเพื่อน ถ้าเราปล่อยให้เป็นแบบนี้อีกต่อไป เราปล่อยไม่ได้แล้วนะครับ หากเราต้องติดอยู่กับของชิ้นเดิมๆ นิสัยเดิมๆ จนมองข้ามความถูกต้อง กฎหมาย ความมีวินัย และความเสียสละ ผมเชื่อว่าทุกคนรู้ดีว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อะไรถูก อะไรผิด ขอให้ทุกคนได้ใช้โอกาสนี้เปลี่ยนแปลงตัวเอง หันหน้าเข้าหากัน รู้รักสามัคคีเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลร่วมกัน

ในวันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายนนี้ ครบ 30 วัน การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัฐบาลคำนึงถึงการแสดงความอาลัย และน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างเหมาะสม ควบคู่ไปกับการเดินหน้าประเทศได้อย่างราบรื่นต่อเนื่อง ได้ผ่อนผันให้ทุกภาคส่วนดำเนินกิจกรรมได้ ที่ผ่านมาขอให้พิจารณาถึงความรู้สึกของประชาชนด้วย และบรรยากาศของสังคมด้วย

สำหรับเทศกาลวันลอยกระทงนี้ ขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขนบธรรมเนียมอันงดงามของไทย เพื่อดำรงสืบสานความเป็นเอกรักษ์ของชาติให้มีความเรียบร้อย มีความปลอดภัย ทั้งเรื่องการเดินทางสัญจร และการร่วมกิจกรรม ระมัดระวังอุบัติเหตุต่างๆ ขอให้หน่วยงานได้ดูแลอำนวยความสะดวกแก่พี่น้องประชาชนเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะของเรื่องเรือโดยสาร ท่าเรือ ท่าน้ำ โป๊ะและแหล่งน้ำในการลอยกระทง รวมทั้งขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนร่วมกันใช้วัสดุจากธรรมชาติในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อทำกระทงในการมาขาย หรือมาลอยในครั้งนี้ อีกทั้งให้ความรู้แก่ลูกหลานให้เข้าใจถึงแก่นแท้ของเทศกาลนี้อย่างถูกต้อง วัตถุประสงค์ก็เป็นเพื่อการขอขมาต่อพระแม่คงคา คงไม่ได้มุ่งหวังแต่เพียงการสนุกสนานรื่นเริงแต่เพียงอย่างเดียว ขอขอบคุณ ขอให้มีความสุข สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น