รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวานนี้ (29 ส.ค.) ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายเสกสรร เสนาชู ทนายความของ น.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล อดีตพริตตี้ ผู้ต้องหาที่ 2 ถูกกล่าวหาร่วมกับ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ปลอมเอกสารสิทธิการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ รวมมูลค่า 300 ล้านบาท เดินทางไปยื่นหนังสือถึง ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร อัยการสูงสุด เพื่อร้องขอความเป็นธรรมเเละทราบเหตุผลคำสั่งทางคดี ภายหลังจากมีข่าวทางสื่อมวลชนว่าอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ที่รับผิดชอบสำนวนมีคำสั่งไม่ฟ้อง โดยมี ร.ท.สมนึก เสียงก้อง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด และนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นผู้รับหนังสือแทน
นายเสกสรรกล่าวว่า ทราบข่าวจากสื่อมวลชนว่าอัยการคดีอาญากรุงเทพใต้มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องในคดีดังกล่าว เมื่อวันศุกร์ที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา จึงเดินทางไปยื่นคำร้องที่สำนักงานอัยการกรุงเทพใต้ เพื่อขอทราบคำสั่ง แต่ได้รับแจ้งจากพนักงานอัยการว่าได้ส่งสำนวนมาที่อัยการสูงสุดตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 25 ส.ค. ซึ่งช่วงเวลาที่ผ่านมา อัยการเจ้าของสำนวนยังไม่เคยแจ้งให้ผู้ต้องหาไปรับทราบคำสั่งคดี ดังนั้นวันนี้จึงขอทราบรายละเอียดคำสั่งไม่ฟ้องดังกล่าว พร้อมทั้งขอให้อัยการสูงสุดส่งสำนวนคดีไปถึง ผบ.ตร.เพื่อพิจารณาตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 ต่อไป โดยที่ผ่านมาฝ่ายครอบครัวของนายชูวงษ์ ผู้เสียหาย ได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมทั้งอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ และอัยการสูงสุด จึงเกรงว่าอัยการสูงสุดจะลำบากใจในการสั่งคดี ทั้งนี้ ยืนยันว่าลูกความตนได้รับโอนมาโดยสุจริต ไม่มีนิติกรรมอำพราง
ด้าน ร.ท.สมนึก โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า เบื้องต้นทราบว่าอัยการสูงสุดได้เรียกสำนวนคดีดังกล่าวมาตรวจสอบ แต่ไม่ทราบว่าสำนวนมาถึงหรือยัง โดยอัยการสูงสุดได้มอบให้รองอัยการสูงสุดพิจารณา หากมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องตามที่อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้เสนอมา ก็ต้องส่งสำนวนไปให้ ผบ.ตร.พิจารณาทำความเห็นมาตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 ถ้า ผบ.ตร.เห็นแย้งให้ฟ้อง ก็ต้องส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ชี้ขาด หรือถ้ารองอัยการสูงสุดมีความเห็นให้ฟ้อง ก็จะดำเนินการนำตัวผู้ต้องหายื่นฟ้องศาล คดีนี้จึงยังไม่จบขั้นตอน
“ในกระบวนการเช่นนี้ถือเป็นเรื่องปกติ คดีอื่นก็มีการยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด ก็ต้องพิจารณาตามระเบียบอย่างรอบคอบ แต่คิดว่าคงใช้เวลาไม่นาน” โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดกล่าว
ขณะที่นายประยุทธ รองอัยการสูงสุด กล่าวว่า เบื้องต้นทราบว่าอัยการคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 เจ้าของสำนวน มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง แต่รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้มีความเห็นแย้งให้ฟ้อง โดยเมื่ออธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้พิจารณาแล้วสั่งไม่ฟ้อง ซึ่งฝ่ายผู้เสียหายก็ได้ยื่นร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด จึงต้องรอให้รองอัยการสูงสุดที่ได้รับมอบหมายพิจารณาและมีความเห็นก่อน
“ยืนยันว่าอัยการมีอิสระในการใช้ดุลพินิจ ซึ่งรองอธิบดีและอธิบดีอัยการยังมีความเห็นต่างกันอยู่” รองโฆษกฯ กล่าวยืนยัน
ต่อมาเวลา 11.00 น. นางศิริรัตน์ แซ่ตั๊ง และนางวันเพ็ญ ธนธรรมสิริ ภรรยาและพี่สาวของนายชูวงษ์ พร้อมด้วยนายอเนก คำชุ่ม ทนายความ ก็ได้เดินทางไปยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุดเช่นกัน แต่เป็นคดีที่ พ.ต.ท.บรรยินตกเป็นผู้ต้องหาร่วมกันฆ่านายชูวงษ์ หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ภรรยาและพี่สาวเคยมายื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมคดีโอนหุ้นแล้ว
นายอเนก ทนายความของครอบครัวชูวงษ์ กล่าวว่า สำนวนคดีการตายของนายชูวงษ์ มีความเชื่อมโยงกับคดีปลอมเอกสารการโอนหุ้น ครอบครัวผู้เสียหายเห็นว่าเมื่อเรื่องมีความเกี่ยวพันกัน ก็น่าจะมีการกลั่นกรองที่ดีกว่านี้ จึงขอให้อัยการสูงสุดกลั่นกรองสำนวนคดีฆาตกรรมที่เกี่ยวพันคดีโอนหุ้นด้วย
สำหรับคดีโอนหุ้น ที่เบื้องต้นอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้สั่งไม่ฟ้อง นายอเนกกล่าวว่า ครอบครัวเชื่อมั่นสำนวนที่พนักงานสอบสวนทำ แต่ก็ไม่ก้าวล่วงความเห็นของอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ ครอบครัวยังไม่เห็นคำสั่งทางการจึงยังไม่สบายใจ ขณะที่มูลค่าความสูญเสียมีมากถึง 300 ล้านบาท โดยคดียังมีอีกหลายขั้นตอน ซึ่งเราก็จะร้องขอความเป็นธรรม ดังนั้นจึงต้องรอดูคำสั่งของอัยการ ถ้าอัยการสั่งฟ้อง ครอบครัวก็จะขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม แต่ถ้าสั่งไม่ฟ้องเด็ดขาด ทางครอบครัวก็จะใช้สิทธิ์ทางกฎหมายยื่นฟ้องเอง
ทั้งนี้ คดีปลอมเอกสารโอนหุ้น มีผู้ต้องหา 4 ราย ประกอบด้วย พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมว.พาณิชย์และอดีต ส.ส.นครสวรรค์, น.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล อดีตพริตตี้, น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล อาชีพโบรกเกอร์ และ น.ส.ศรีธรา พรหมา มารดาของ น.ส.อุรชา ซึ่งพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม มีความเห็นสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา ฐานร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร, ปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมการโอนหุ้น
นายเสกสรรกล่าวว่า ทราบข่าวจากสื่อมวลชนว่าอัยการคดีอาญากรุงเทพใต้มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องในคดีดังกล่าว เมื่อวันศุกร์ที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา จึงเดินทางไปยื่นคำร้องที่สำนักงานอัยการกรุงเทพใต้ เพื่อขอทราบคำสั่ง แต่ได้รับแจ้งจากพนักงานอัยการว่าได้ส่งสำนวนมาที่อัยการสูงสุดตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 25 ส.ค. ซึ่งช่วงเวลาที่ผ่านมา อัยการเจ้าของสำนวนยังไม่เคยแจ้งให้ผู้ต้องหาไปรับทราบคำสั่งคดี ดังนั้นวันนี้จึงขอทราบรายละเอียดคำสั่งไม่ฟ้องดังกล่าว พร้อมทั้งขอให้อัยการสูงสุดส่งสำนวนคดีไปถึง ผบ.ตร.เพื่อพิจารณาตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 ต่อไป โดยที่ผ่านมาฝ่ายครอบครัวของนายชูวงษ์ ผู้เสียหาย ได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมทั้งอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ และอัยการสูงสุด จึงเกรงว่าอัยการสูงสุดจะลำบากใจในการสั่งคดี ทั้งนี้ ยืนยันว่าลูกความตนได้รับโอนมาโดยสุจริต ไม่มีนิติกรรมอำพราง
ด้าน ร.ท.สมนึก โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า เบื้องต้นทราบว่าอัยการสูงสุดได้เรียกสำนวนคดีดังกล่าวมาตรวจสอบ แต่ไม่ทราบว่าสำนวนมาถึงหรือยัง โดยอัยการสูงสุดได้มอบให้รองอัยการสูงสุดพิจารณา หากมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องตามที่อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้เสนอมา ก็ต้องส่งสำนวนไปให้ ผบ.ตร.พิจารณาทำความเห็นมาตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 ถ้า ผบ.ตร.เห็นแย้งให้ฟ้อง ก็ต้องส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ชี้ขาด หรือถ้ารองอัยการสูงสุดมีความเห็นให้ฟ้อง ก็จะดำเนินการนำตัวผู้ต้องหายื่นฟ้องศาล คดีนี้จึงยังไม่จบขั้นตอน
“ในกระบวนการเช่นนี้ถือเป็นเรื่องปกติ คดีอื่นก็มีการยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด ก็ต้องพิจารณาตามระเบียบอย่างรอบคอบ แต่คิดว่าคงใช้เวลาไม่นาน” โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดกล่าว
ขณะที่นายประยุทธ รองอัยการสูงสุด กล่าวว่า เบื้องต้นทราบว่าอัยการคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 เจ้าของสำนวน มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง แต่รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้มีความเห็นแย้งให้ฟ้อง โดยเมื่ออธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้พิจารณาแล้วสั่งไม่ฟ้อง ซึ่งฝ่ายผู้เสียหายก็ได้ยื่นร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด จึงต้องรอให้รองอัยการสูงสุดที่ได้รับมอบหมายพิจารณาและมีความเห็นก่อน
“ยืนยันว่าอัยการมีอิสระในการใช้ดุลพินิจ ซึ่งรองอธิบดีและอธิบดีอัยการยังมีความเห็นต่างกันอยู่” รองโฆษกฯ กล่าวยืนยัน
ต่อมาเวลา 11.00 น. นางศิริรัตน์ แซ่ตั๊ง และนางวันเพ็ญ ธนธรรมสิริ ภรรยาและพี่สาวของนายชูวงษ์ พร้อมด้วยนายอเนก คำชุ่ม ทนายความ ก็ได้เดินทางไปยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุดเช่นกัน แต่เป็นคดีที่ พ.ต.ท.บรรยินตกเป็นผู้ต้องหาร่วมกันฆ่านายชูวงษ์ หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ภรรยาและพี่สาวเคยมายื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมคดีโอนหุ้นแล้ว
นายอเนก ทนายความของครอบครัวชูวงษ์ กล่าวว่า สำนวนคดีการตายของนายชูวงษ์ มีความเชื่อมโยงกับคดีปลอมเอกสารการโอนหุ้น ครอบครัวผู้เสียหายเห็นว่าเมื่อเรื่องมีความเกี่ยวพันกัน ก็น่าจะมีการกลั่นกรองที่ดีกว่านี้ จึงขอให้อัยการสูงสุดกลั่นกรองสำนวนคดีฆาตกรรมที่เกี่ยวพันคดีโอนหุ้นด้วย
สำหรับคดีโอนหุ้น ที่เบื้องต้นอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้สั่งไม่ฟ้อง นายอเนกกล่าวว่า ครอบครัวเชื่อมั่นสำนวนที่พนักงานสอบสวนทำ แต่ก็ไม่ก้าวล่วงความเห็นของอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ ครอบครัวยังไม่เห็นคำสั่งทางการจึงยังไม่สบายใจ ขณะที่มูลค่าความสูญเสียมีมากถึง 300 ล้านบาท โดยคดียังมีอีกหลายขั้นตอน ซึ่งเราก็จะร้องขอความเป็นธรรม ดังนั้นจึงต้องรอดูคำสั่งของอัยการ ถ้าอัยการสั่งฟ้อง ครอบครัวก็จะขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม แต่ถ้าสั่งไม่ฟ้องเด็ดขาด ทางครอบครัวก็จะใช้สิทธิ์ทางกฎหมายยื่นฟ้องเอง
ทั้งนี้ คดีปลอมเอกสารโอนหุ้น มีผู้ต้องหา 4 ราย ประกอบด้วย พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมว.พาณิชย์และอดีต ส.ส.นครสวรรค์, น.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล อดีตพริตตี้, น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล อาชีพโบรกเกอร์ และ น.ส.ศรีธรา พรหมา มารดาของ น.ส.อุรชา ซึ่งพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม มีความเห็นสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา ฐานร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร, ปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมการโอนหุ้น