สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะของญี่ปุ่น มีกระแสพระราชดำรัสต่อประชาชนเมื่อวันจันทร์ ทรงเปรยถึงปัญหาพระพลานามัยอ่อนแอและทรงชราภาพมากขึ้น ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ส่งสัญญาณทรงประสงค์จะสละราชสมบัติ ขณะนายกฯ ชินโซ อาเบะ เผยรัฐบาลพร้อมน้อมเกล้าฯ สนองรับสั่ง
กระแสพระราชดำรัสนานประมาณ 10 นาทีที่บันทึกเทปไว้ก่อนและนำเผยแพร่ผ่านสถานีโทรทัศน์ทั่วประเทศญี่ปุ่นเมื่อบ่ายวันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม 2559 นี้ เป็นการรับสั่งโดยตรงต่อพสกนิกรเพียงครั้งที่ 2 เท่านั้นของสมเด็จพระจักรพรรดิ พระชนมพรรษา 82 พรรษา ครั้งแรกนั้นพระองค์มีพระราชดำรัสหลังภัยพิบัติแผ่นดินไหวและสึนามิเมื่อเดือนมีนาคม 2554 เพื่อทรงปลอบโยนพสกนิกรที่กำลังเผชิญวิกฤติร้ายแรงที่สุดนับแต่ยุคสงคราม
สมเด็จพระจักรพรรดิตรัสว่า มีบางช่วงเวลาที่พระองค์ทรงรู้สึกถึงข้อจำกัดหลายหลาก เช่น ความแข็งแรงของพระพลานามัยของพระองค์ ญี่ปุ่นกำลังอยู่ในช่วงเวลาของสังคมผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และพระองค์มีพระประสงค์จะตรัสต่อชาวญี่ปุ่นในวันนี้ เกี่ยวกับบทบาทของพระจักรพรรดิ ในช่วงเวลาที่พระจักรพรรดิเองก็ทรงชราภาพยิ่งขึ้น และพระองค์ทรงกังวลว่าจะปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้ยากลำบากมากขึ้น
พระองค์เคยทรงต้องรับการผ่าตัดรักษามะเร็งต่อมลูกหมากและพระหทัยมาแล้ว แต่พระองค์ทรงย้ำว่าพระองค์ยังมีพระพลานามัยแข็งแรงดี
เมื่อเดือนที่แล้ว สังคมญี่ปุ่นเคยคาดเดากันถึงพระประสงค์จะสละราชสมบัติแด่เจ้าชายนารุฮิโตะ มกุฎราชกุมาร ภายหลังมีรายงานข่าวว่าสมเด็จพระจักรพรรดิทรงเปรยกับพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชบริพารใกล้ชิดว่าพระองค์ปรารถนาจะสละบัลลังก์ภายใน 2 ปี หากเป็นเช่นนั้นจะเป็นครั้งแรกในรอบ 200 ปีของราชวงศ์ดอกเบญจมาศที่สืบสันตติวงศ์ยาวนานที่สุดในโลก กว่า 2,600 ปี
ในพระราชดำรัสวันจันทร์ พระองค์รับสั่งไว้อย่างคลุมเครือโดยไม่ได้ตรัสคำสละราชสมบัติเลย และทรงย้ำว่ากฎหมายไม่อนุญาตให้พระองค์แสดงทัศนะเกี่ยวกับระบบการสืบราชสันตติวงศ์ แต่นักวิเคราะห์และสื่อกล่าวกันว่า พระราชประสงค์ของพระองค์แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในรับสั่งนี้
"สมเด็จพระจักรพรรดิทรงบอกเป็นนัยถึงการสละราชย์" โยมิอุริชิมบุงเขียนไว้ในหนังสือพิมพ์ฉบับพิเศษหน้าคู่
พระราชกระแสรับสั่งของพระองค์ยังเปิดทางให้รัฐบาลเริ่มกลไกทางกฎหมายสำหรับการสละราชสมบัติ ซึ่งปัจจุบันไม่มีบัญญัติไว้
นายกฯ อาเบะน้อมสนองรับสั่งโดยทันที กล่าวว่า รัฐบาลจะน้อมเกล้าฯ สนองกระแสพระราชดำรัสอย่างจริงจัง "พิจารณาจากพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระจักรพรรดิ รวมถึงพระชนมพรรษาและพระราชภาระของพระองค์ พวกเราต้องพิจารณาอย่างหนักแน่นว่าเราสามารถทำอย่างไรได้บ้าง" เขากล่าว
โทมิทาโร ฮาชิโมโตะ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยลัยเรตากุ กล่าวว่า ถึงแม้จักรพรรดิไม่ได้ทรงใช้คำว่าสละราชย์ แต่พระราชสารที่พระองค์ต้องการสื่อนั้นชัดเจนว่า ทรงเรียกร้องให้ประชาชนพิจารณาอย่างจริงจังถึงเรื่องนี้ในอนาคต ตามกฎหมายนั้นพระองค์ไม่สามารถขอให้แก้กฎมณเฑียรบาลได้ นั่นคือเหตุผลที่พระองค์ไม่สามารถร้องขอตรงๆ
ผลสำรวจของอาซาฮีชิมบุงเผยแพร่เมื่อวันจันทร์ ชี้ว่า ประชาชนถึง 84% สนับสนุนแนวคิดนี้
กระแสพระราชดำรัสนานประมาณ 10 นาทีที่บันทึกเทปไว้ก่อนและนำเผยแพร่ผ่านสถานีโทรทัศน์ทั่วประเทศญี่ปุ่นเมื่อบ่ายวันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม 2559 นี้ เป็นการรับสั่งโดยตรงต่อพสกนิกรเพียงครั้งที่ 2 เท่านั้นของสมเด็จพระจักรพรรดิ พระชนมพรรษา 82 พรรษา ครั้งแรกนั้นพระองค์มีพระราชดำรัสหลังภัยพิบัติแผ่นดินไหวและสึนามิเมื่อเดือนมีนาคม 2554 เพื่อทรงปลอบโยนพสกนิกรที่กำลังเผชิญวิกฤติร้ายแรงที่สุดนับแต่ยุคสงคราม
สมเด็จพระจักรพรรดิตรัสว่า มีบางช่วงเวลาที่พระองค์ทรงรู้สึกถึงข้อจำกัดหลายหลาก เช่น ความแข็งแรงของพระพลานามัยของพระองค์ ญี่ปุ่นกำลังอยู่ในช่วงเวลาของสังคมผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และพระองค์มีพระประสงค์จะตรัสต่อชาวญี่ปุ่นในวันนี้ เกี่ยวกับบทบาทของพระจักรพรรดิ ในช่วงเวลาที่พระจักรพรรดิเองก็ทรงชราภาพยิ่งขึ้น และพระองค์ทรงกังวลว่าจะปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้ยากลำบากมากขึ้น
พระองค์เคยทรงต้องรับการผ่าตัดรักษามะเร็งต่อมลูกหมากและพระหทัยมาแล้ว แต่พระองค์ทรงย้ำว่าพระองค์ยังมีพระพลานามัยแข็งแรงดี
เมื่อเดือนที่แล้ว สังคมญี่ปุ่นเคยคาดเดากันถึงพระประสงค์จะสละราชสมบัติแด่เจ้าชายนารุฮิโตะ มกุฎราชกุมาร ภายหลังมีรายงานข่าวว่าสมเด็จพระจักรพรรดิทรงเปรยกับพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชบริพารใกล้ชิดว่าพระองค์ปรารถนาจะสละบัลลังก์ภายใน 2 ปี หากเป็นเช่นนั้นจะเป็นครั้งแรกในรอบ 200 ปีของราชวงศ์ดอกเบญจมาศที่สืบสันตติวงศ์ยาวนานที่สุดในโลก กว่า 2,600 ปี
ในพระราชดำรัสวันจันทร์ พระองค์รับสั่งไว้อย่างคลุมเครือโดยไม่ได้ตรัสคำสละราชสมบัติเลย และทรงย้ำว่ากฎหมายไม่อนุญาตให้พระองค์แสดงทัศนะเกี่ยวกับระบบการสืบราชสันตติวงศ์ แต่นักวิเคราะห์และสื่อกล่าวกันว่า พระราชประสงค์ของพระองค์แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในรับสั่งนี้
"สมเด็จพระจักรพรรดิทรงบอกเป็นนัยถึงการสละราชย์" โยมิอุริชิมบุงเขียนไว้ในหนังสือพิมพ์ฉบับพิเศษหน้าคู่
พระราชกระแสรับสั่งของพระองค์ยังเปิดทางให้รัฐบาลเริ่มกลไกทางกฎหมายสำหรับการสละราชสมบัติ ซึ่งปัจจุบันไม่มีบัญญัติไว้
นายกฯ อาเบะน้อมสนองรับสั่งโดยทันที กล่าวว่า รัฐบาลจะน้อมเกล้าฯ สนองกระแสพระราชดำรัสอย่างจริงจัง "พิจารณาจากพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระจักรพรรดิ รวมถึงพระชนมพรรษาและพระราชภาระของพระองค์ พวกเราต้องพิจารณาอย่างหนักแน่นว่าเราสามารถทำอย่างไรได้บ้าง" เขากล่าว
โทมิทาโร ฮาชิโมโตะ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยลัยเรตากุ กล่าวว่า ถึงแม้จักรพรรดิไม่ได้ทรงใช้คำว่าสละราชย์ แต่พระราชสารที่พระองค์ต้องการสื่อนั้นชัดเจนว่า ทรงเรียกร้องให้ประชาชนพิจารณาอย่างจริงจังถึงเรื่องนี้ในอนาคต ตามกฎหมายนั้นพระองค์ไม่สามารถขอให้แก้กฎมณเฑียรบาลได้ นั่นคือเหตุผลที่พระองค์ไม่สามารถร้องขอตรงๆ
ผลสำรวจของอาซาฮีชิมบุงเผยแพร่เมื่อวันจันทร์ ชี้ว่า ประชาชนถึง 84% สนับสนุนแนวคิดนี้
