xs
xsm
sm
md
lg

รายการคืนความสุขให้คนในชาติ (15 ก.ค.59)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน เนื่องด้วยสัปดาห์หน้าเป็นห้วงของเทศกาลอาสาฬหบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของพระพุทธศาสนา ที่พุทธศาสนิกชนทุกคนจะได้น้อมรำลึกถึงพระพุทธคุณแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเทศกาลเข้าพรรษานั้น เป็นวันที่พระภิกษุอธิษฐานอยู่จำพรรษาเป็นเวลา 3 เดือน ในโอกาสอันดีนี้ ผมขอเชิญชวนคนไทยทุกคนได้ร่วมกันทำความดี รักษาศีล ทำดีเพื่อพ่อหลวงแม่หลวงถวายเป็นพระราชกุศลในปีมหามงคลแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 70 ปี และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 7 รอบ โดยขอให้ทุกวัดและพุทธศาสนิกชนไทยทั้งในประเทศ และทั่วโลก ได้พร้อมใจกันถวายพระพรแด่ทั้ง 2 พระองค์ โดยการสวดบทฉันท์เฉลิมพระเกียรติ ทั้งทำวัตรเย็นหรือหลังสวดมนต์ที่บ้านประจำวัน สำหรับช่วงเทศกาลงานบุญนี้ ผมก็มีเรื่องจะฝากให้ชาวไทยได้คิดและช่วยกันพิจารณาด้วยเหตุด้วยผล เพื่อจะนำมาสู่การปฏิบัติที่ดีงามก็คือ 1.การเลิกเหล้าเข้าพรรษาเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาศีล 5 เป็นความคิดที่ดีนะครับ ที่ท่านสามารถทำได้ในห้วง 3 เดือน ในแต่ละปีหรือตลอดไป ก็คงดีที่สุดกับตัวเองและกับครอบครัว รวมถึงการลดละเลิกการสูบบุหรี่ ซึ่งถ้าสามารถทำได้ตลอดไปก็จะยิ่งดีกับตัวท่าน ครอบครัว คนรอบข้าง
2.กิจกรรมบันเทิง งานวัดในการแห่เทียนเข้าพรรษาในปัจจุบัน จารีตประเพณีอันงดงามของไทยก็ยังคงมีอยู่นะครับ แต่มีบางส่วนที่มีการผิดเพี้ยนมีการโชว์วาบวิวแต่งตัวโป๊เปลือย มีการเล่นการพนัน เหล่านี้ผมขอความร่วมมือนะครับช่วยกันรณรงค์ ทำในสิ่งที่ดีดี ที่เหมาะสมก่อนที่ลูกหลานจะเข้าใจผิดว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูก หรือทำได้จนกลายเป็นเรื่องปกติไป วันหน้าจะกลายเป็นปัญหาอีก

3. พิธีสังฆกรรมที่เรียกว่า มหาปวารณา ซึ่งมีมาแล้วกว่า 2,000 ปี ที่เปิดโอกาสให้พระภิกษุว่ากล่าวตักเตือน หรือถามข้อสงสัย ซึ่งกันและกัน ด้วยความสเคารพ ด้วยความปรารถนาดีต่อกัน โดยกระทำในหมู่สงฆ์ ในวันออกพรรษา แต่ผมเป็นว่าเป็นสิ่งที่ดี อะไรที่ดี ที่นำมาพูด ยิ่งพูดเร็ว คุยกันมากขึ้น เร็วขึ้นก็น่าจะเป็นประโยชน์ ผมเห็นว่าวันนี้มันจะต้องเป็นพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตยที่ถูกต้อง เราคนไทยสามารถที่จะนำมาใช้ได้ เพื่อให้มีโอกาสเปิดฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่ต้องเป็นช่องทางที่ถูกต้องตามกฎหมายด้วย มีการอภิปรายด้วยเหตุแะลผล อย่าเอาเหตุผลอันใดอันหนึ่งมา เพื่อชนะคะคานกัน เราจะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

ขอแสดงความยินดีและชื่นชม กับคณะนักร้องประสานเสียงอายุ 12-21 ปี จำนวน 21 คน ในความสำเร็จคว้ารางวัลชนะเลิศเหรียญทองทั้ง 2 รายการที่เราส่งเข้าแข่งขัน ในการขับร้องประสานเสียงแชมป์โลกครั้งที่ 9 ณ เมืองโชชิ ประเทศรัสเซีย ได้อัญเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์ ค่ำแล้ว มาใช้ในการแข่งขันครั้งนี้ด้วย ก็นับว่าเป็นสิ่งมงคลของทุกคนที่ได้นำพระอัจฉริยภาพด้านดนตรีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไปเผยแพร่สู่ชาวโลก ผมและคนไทยทุกคน ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนด้วยนะครับ ที่กำลังทำหน้าที่เพื่อชาติ เพื่อแผ่นดินในนามของทีมชาติด้วย ทุกคน ทุกทีม ในการแข่งขันกีฬามหาวิทยาอาเซียน ครั้งที่ 18 ณ สิงคโปร์ ซึ่งปัจจุบันกำลังแข่งอยู่ สิ่งที่ผมเห็นในวันนี้ก็คือ 1.ความสามัคคี ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน หากขาดสิ่งเหล่านี้แล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นกีฬา หรือการแข่งขันร้องเพลง หรือการแข่งขันชนิดอื่นๆ ก็ตาม ไม่สามารถจะประสบความสำเร็จได้

เรื่องที่ 2 เราจะต้องมีความภาคภูมิใจในความเป็นชาติ ซึ่งจะช่วยให้เป็นพลัง เป็นกำลังใจที่เรามองไม่เห็น ซึ่งจะผลักดันให้ทุกคนก้าวผ่านทุกอุปสรรคไปได้

3.การทำงานเป็นทีม หมายถึงการทำงานที่มุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน ต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด และช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ปัจจัยภายในต้องไม่ใช่ปัญหา ต้องช่วยกันแก้ปัญหาจากปัจจัยภายนอกให้ได้โดยเร็ว และเริ่มจากภายในออกไปด้วย จะเป็นทักษะในการทำงานร่วมกันในศตวรรษที่ 21 ทั้ง 3 ประการนี้ เป็นสิ่งที่ประเทศของเราต้องการมาก

ในส่วนของการเดินหน้าประเทศสู่ไทยแลนด์ 4.0 นั้น จะเป็นการพลิกโฉมการพัฒนาประเทศ จากการแก้ปัญหารายวัน เหมือนกับการปรับโหมดเลี้ยงไข้อะไรทำนองนี้ที่ผ่านมานะครับ เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะต้องทำเพื่อเป็นการสร้างพื้นฐานการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยจะต้องมีกรอบนโยบายที่ชัดเจน สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาของโลก และขององค์การสหประชาชาติ เพราะเราและเพื่อนบ้านเรานั้น เป็นส่วนประกอบของภูมิภาคอาเซียน และของโลกด้วย เราจะต้องเข้มแข็งไปด้วยกัน หรือที่เรียกว่า Stronger Together โดยประเทศไทยนั้นเราต้องอาศัยความได้เปรียบในเชิงพื้นที่นะครับ และความพร้อมของเราในการแสดงบทบาทนำร่วม ผมใช้คำว่า นำร่วมแล้วกัน และการเป็นศูนย์กลางในหลายๆ ด้าน เช่น 1.คือศูนย์กลางการขนส่ง และลอจิสติกส์ รัฐบาลนี้กำลังผลักดันอยู่ ด้วยทางรถไฟทางคู่ขนาด 1 เมตร เฟสแรก 6 เส้นทาง ระยะทางรวม 905 กิโลเมตร ให้แล้วเสร็จทั้งหมดภายในปี 2563 ซึ่งเราคงต้องหาวิธีการดำเนินการให้เสร็จโดยเร็ว และมีการดำเนินการอย่างโปร่งใส ไม่ทุจริต ตรวจสอบได้ มีเอกภาพ

ส่วนเฟสที่ 2 จำนวน 7 เส้นทาง ระยะทางรวมกว่า 1,600 กว่ากิโลเมตรนะครับ และเฟสที่ 3 จำนวน 4 เส้นทาง ระยะทาง 800 กว่ากิโลเมตร ทั้งหมดนั้นจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จ และทยอยเปิดให้การบริการภายในปี 2565 โดยรัฐบาลจะเริ่มต้นวางพื้นฐานในระยะแรกไว้ให้

ทั้งนี้ก็เพื่อให้ประเทศไทยสามารถมีการเชื่อมโยงแต่ละภูมิภาคของประเทศ เหนือ ใต้ ออก ตก เข้าด้วยกัน และเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศลาวในเรื่องของการสร้างรถไฟความเร็วสูง ได้คุยกับท่านนายกรัฐมนตรีลาวแล้ว ก็กำลังสร้างอยู่นะครับ และถ้าไทยไม่สร้างมันก็กลายเป็นรถไฟไม่รู้จะไปต่อใครเหมือนกัน เราก็ต้องไปต่อเขา ที่เราเตรียมการไว้ มันต้องไปคุยหลายประเทศด้วยกัน มันถึงจะเกิดขึ้นมาได้

ทั้งนี้ เพื่อหวังจะเชื่อมโยงไทย ตรงบริเวณเมืองคู่แฝดหนองคาย-เวียงจันทน์ เป็นต้น สำหรับรถไฟทางคู่ 1.435 เมตร อีก 4 เส้นทางที่กำลังเดินหน้าเจรจา เพื่อเลือกรูปแบบของความร่วมมือการลงทุน การรักษาผลประโยชน์แห่งชาติให้ได้มากที่สุด นอกจากนั้นเรายังได้เตรียมการถึงการขนส่งทางน้ำ เช่น การยกระดับท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ สำหรับใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่อเรือ การพัฒนาท่าเรือเฟอร์รี่ เป็นต้น และการขนส่งทางอากาศรวมไปถึงเรื่องการข้ามฟากจากทางด้านนี้ไปหัวหินด้วยนะครับ

ในเรื่องของการขนส่งทางอากาศ เราเตรียมการในเรื่องของการพัฒนาศักยภาพสนามบินอู่ตะเภา ให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 5 ล้านคนต่อปี ปีหน้าต้นปีก็จะได้ 3 ล้านก่อน และการพัฒนาศูนย์ซ่อมอากาศยานเป็นต้น ทั้งนี้หลายประเทศให้ความ ทั้งนี้หลายประเทศให้ความสำคัญกับกลุ่มประเทศ CLMVT ในฐานะที่เป็น Supply Chain ของอาเซียน ดังนั้นกลุ่มประเทศ CLMVT จะทำยุทธศาสตร์ร่วมกัน เพื่อจะเสริมสร้างความแข็งแกร่งในภูมิภาคแห่งนี้ จะต้องเน้นสร้างความเชื่อมโยง ทั้งทางถนน สะพาน รถไฟ ทางทะเล และทางอากาศ เพื่อจะเชื่อมต่อประเทศอื่นๆ ทั้งในอาเซียนและนอกอาเซียน อาทิ จีน อินเดีย ยูเรเซีย

2.เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว รัฐบาลนี้สนับสนุนการท่องงเที่ยวทั้งในชุมชน และท้องถิ่น โดยให้บรรจุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 4.0 ด้วย และการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกับเพื่อนบ้านตามแนวคิด สตรองเกอร์ ทูเกตเตอร์ (Stronger Together) ซึ่งจะเป็นผลดีให้อาเซียนเข้มแข็งขึ้น เพิ่มมูลค่าทั้งสองฝ่าย มีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวข้ามแดนแบบชายแดน ซึ่งสามารถใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาชายแดนอื่นๆ ไปพร้อมๆ กันด้วย เราได้นำพาอาเซียนไปด้วยกัน

ทั้งนี้ เรื่องผลลงานวิจัย ปีหน้า 2560 อาจจะมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศมาไทย 34 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2 ล้านคน จากปี 2559 มันจะเป็นการสร้างรายได้เข้าประเทศเรา 2.84 ล้านล้านบาท เราต้องทำให้ประเทศชาติเรามั่นคง มีคุณภาพปลอดภัย แล้วก็แก้ไขปัญหาที่มีอยู่เดิม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทุจริต เรื่องผิดกฎหมาย การดูแลนักท่องเที่ยว การเยียวยา ทั้งหมด ทำให้บ้านเมืองเราปลอดภัย ลดการขัดแย้งลง ลดสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ทำให้เศรษฐกิ่จดีขึ้นแน่นอน ที่น่าสนใจแนวโน้มนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งมาเที่ยวไทยจำนวน 8 ล้านคน ในปี 2558 ยังไงก็เป็นเพื่อนบ้านกัน เราก็ต้องดูแลเขา รับรองเขา แต่อาจจะเพิ่มขึ้นเป็น 25 ล้านคนในอีก 10 ปีข้างหน้า ดังนั้นเราต้องเตรียมความพร้อม มีมาตรการรองรับที่เหมาะสม ไม่ว่าจะไกด์ มัคคุเทศก์ ระบบการขนส่งทางบก ทางเรือ ที่ปลอดภัย ไกด์ที่สามารถพูดภาษาจีนได้มากขึ้น เพื่อจะให้คำแนะนำได้ แม้ว่าจะเกิดความขัดแย้งกันไปอีก เราเป็นเพื่อนบ้านกัน ขัดแย้งกันไม่ได้ คนไทย คนจีน ก็รู้จักกันมายาวนานโดยทางประวัติศาสตร์ และทางเชื้อสายชาติพันธุ์ด้วยอยู่แล้ว เราต้องพยายามรักษาความสมดุลตรงนี้ให้ได้ ทั้งเรื่องการอนุรักษ์ การฟื้นฟูธรรมชาติ และแหล่งท่องเที่ยว เรามุ่งเน้นรายได้เพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูแลหลายๆ เซกเตอร์ โดยเฉพาะดูแลท้องถิ่น ประชาชนในพื้นที่ด้วย ที่จะเกิดผลกระทบจากการท่องเที่ยวจำนวนมากเหล่านี้ เช่น ตัวอย่างที่เราทำไว้แล้ว คือ อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ ที่ประสบความสำเร็จ ก็สำเร็จแล้วอย่ากลับมาที่เดิมอีกแล้วกัน

เรื่องแนวทางประชารัฐ เข้ามาบริหารจัดการเอาจริงเอาจัง เน้นการอนุรักษ์และการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนจนสามารถสร้างรายได้จาก 20 ล้านบาท ในห้วง 6 เดือนแรกของปี 2558 เป็น 300 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปี 2559 จะเห็นว่าเพิ่มเป็นจำนวนมากหลายเท่า ถ้าเราจัดการดีๆ มันก็เป็นแบบนี้ทุกที่

นอกจากนั้น เรายังมีศูนย์กลางบริการด้านสุขภาพ ศูนย์กลางการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร รัฐบาลก็มีหลายมาตรการในการส่งเสริม เช่น การจัดตั้งเมืองนวัตกรรมอาหาร หรือ ฟู้ดอินโนโพลิส (Food Innopolis) เพื่อการวิจัยพัฒนา และสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ จะป้อนอุตสากรรมอาหาร รวมทั้งเพื่อยกระดับความสามารถของสตาร์ทอัพ และเอสเอ็มอี ท่านเชื่อไหมว่า ธุรกิจเครื่องสำอางนั้น จากตัวเลขทางสถิติชี้ให้เห็นว่า ธุรกิจประเภทนี้ ไม่ได้ผันผวนไปตามเศรษฐกิจ ทุกคนต้องใช้อยู่ สุภาพสตรี ตอนนี้สุภาพบุรุษก็ใช้แล้ว เครื่องสำอางบางอัน ก็มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

ในเรื่องของกิจการสตาร์ทอัพ และเอสเอ็มอี ด้านเครื่องสำอางหลายราย เป็นของไทย แต่อาจจะถูกตั้งชื่อเป็นญี่ปุ่น เกาหลี เราคิดค้นออกมา และเป็นการแมทชิ่ง และบริษัทก็เอาไปผลิต อันนั้นเป็นความจำเป็น เพราะเราผลิตเองไม่ได้หลายๆ เรื่อง ตอนนี้ต้องไปสู่การผลิตเองบ้าง เช่น ผลผลิตเครื่องสำอางจากมะเขือเทศญี่ปุ่น และหอยทาก ยกตัวอย่างมานั้นก็เพื่อจะเห็นความสำคัญถึงในเรื่องของการวิจัยและพัฒนา สถาบันการวิจัยพัฒนาที่เราเร่งรัดอยู่นี่ รวมทั้งการส่งเสริมของภาครัฐจะต้องดูมาตรฐานของตลาดด้วย วิจัยพัฒนาแมชชิ่ง หาการตลาดในประเทศ ต่างประเทศไปสู่มาตรฐานให้ได้ ผ่านมาตรฐาน สมอ. ผ่าน อย.เหล่านี้ รัฐบาลกำลังเร่งดำเนินการทั้งหมด และฝากทุกคนด้วยช่วยศึกษาหาความรู้ด้วยว่า ไม่ใช่อะไรขายดีก็ทำมาขายแข่งกัน ระยะแรกมันก็ดีทั้งหมด ต่อไปวันหน้ามันก็ขาดทุนทั้งหมด เพราะว่ามันเหมือนกัน

เพราะฉะนั้นต้องดูให้ดี จะลงทุนอะไรก็ตามต้องมีภูมิคุ้มกันที่ดีตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่าทำจนล้นตลาด เกินความต้องการ ราคามันก็ตกอยู่ดี ก็ดูตัวอย่างจากสินค้าการเกษตรก็แล้วกัน เพราะฉะนั้นเราควรมองธุรกิจต่อเนื่องให้ได้ ให้มันทะลุตลอดไป เพื่อจะเชื่อมโยง ยกระดับ มันต้องมีการพัฒนาเป็นขั้นเป็นตอนนะครับ จากต้นทาง กลางทาง ปลายทาง มีโรดแมปของตัวเองว่า จะเอาทุนมาจากที่ไหน จะเริ่มต้นจากเพียงใดก่อน แล้วถ้ามันดีขึ้นเป็นที่ต้องการท้องตลาดเราจะพัฒนาอย่างไร ซึ่งรัฐบาลสนับสนุนกองทุนในสิ่งที่มีศักยภาพอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้นวันนี้ปัจจุบันรัฐบาลยกระดับสินค้าโอท็อป ผมพยายามเรียกคำว่า โอท็อปประชารัฐแล้วกัน อะไรที่ดีผมก็ทำต่ออยู่แล้วแหละ เพียงแต่ทำให้มันเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น เป็นรูปธรรมมากขึ้น ผมใช้คำว่า โอท็อปประชารัฐไปสู่อนาคต เราจะทำโอท็อปคลาสสิก 4 5 ดาว โอท็อปพรีเมียม โอท็อปโกอินเตอร์ก็คือในแนวทางของประชารัฐ จะนำไปขายบนเครื่องบิน ในสนามบิน ในร้านค้าประชารัฐสุขใน ในปั๊ม ปตท.148 แห่ง รวมทั้งการสร้างเครือข่ายการตลาดผ่านระบบออนไลน์ เป็นต้น

ปัจจุบันมีผู้ผลิตสินค้าโอท็อปประชารัฐจำนวนถึง 4 หมื่นกว่าราย ทั้งที่เป็นเอสเอ็มอีมีเงินลงทุนไม่เกิน 10 ล้านบาท ประมาณ 600 ราย รวมสินค้าเกือบ 8 หมื่นรายการ คิดเป็นรายได้ประมาณ 1 แสนล้านบาทต่อปี ล่าสุดคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาช่วยเหลือสินค้าชุมชนด้วยมาตรการช็อปช่วยชุมชน โดยซื้อสินค้าโอท็อปประชารัฐ และสามารถจะนำมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามจำนวนที่ซื้อจริงนะครับ แต่ไม่เกิน 15,000 บาท เริ่มวันที่ 1-31 สิงหาคมนี้ ก็ต้องขอบิลด้วยนะครับ ที่ซื้อของเขามา รัฐบาลอาจจะต้องยอมสูญเสียภาษีบางส่วนไปบ้าง เพราะทั้งนี้ต้องการให้ธุรกิจเหล่านี้มันเจริญเติบโตขึ้น และรัฐบาลไปได้ภาษีจากตรงอื่นมา กิจกรรมที่มันต่อเนื่องเชื่อมโยง ถ้าเราไม่สร้างกลไกเหล่านี้ ไม่สร้างห่วงโซ่มูลค่านี้ มุ่งหวังแต่เล็กแต่น้อยเก็บภาษีตรงนู้นตรงนี้ยับๆ ไปหมด มันเติบโตไม่ได้ ภาษีมันเก็บได้เท่านั้นแหละ

เพราะฉะนั้นเราเชื่อว่า ถ้าเราทำแบบนี้ในช่วงแรก ไม่ว่าจะเป็นการให้สิทธิประโยชน์ การสร้างแรงจูงใจ มาตรการทางภาษีเหล่านี้ผมคิดว่ามันคุ้มค่าในอนาคต เมื่อเปรียบเทียบกับประโยชน์ที่พี่น้องประชาชนจะได้รับ รวมทั้งเป็นการกระจายรายได้ลงสู่ระบบเศรษฐกิจในชุมชนราว 1 หมื่นล้านบาทในช่วง 1 เดือน

ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมช็อปช่วยชุมชนได้ ตามช่องทางที่กล่าวไปแล้ว และในงานศิลปาชีพประทีปไทยโอท็อปประชารัฐ ก้าวไกลด้วยพระบารมี ในห้วงวันที่ 12-20 สิงหาคม 2559 ที่จะจัด ณ เมืองทองธานีด้วยนะครับ

สำหรับการที่เราจะเป็น Hub หรือเป็นศูนย์กลางอะไรก็แล้วแต่ มีหลายอย่างด้วยกัน เช่น ศูนย์กลางเพื่อการส่งออกของภูมิภาค โดยเราจะต้องสร้างแรงดึงดูดให้บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ได้พิจารณาประเทศไทยในการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ในภูมิภาค หรือเป็นฐานการผลิต โดยเฉพาะ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของรัฐบาล เช่น ค่ายรถยนต์รายใหญ่ก็มีความสนใจในการลงทุนสายการผลิตเดิมอยู่ รถยนต์ไฮบริด อะไรต่างๆ เหล่านี้ และมีเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฮบริดแบบปลั๊กอิน ซึ่งต้องมีการลงทุนงบประมาณกว่า 2 หมื่นล้าน เป็นเม็ดเงินขนาดใหญ่

ทั้งนี้ ต้องมีการวิจัยและพัฒนาการถ่ายทอดเทคโนโลยีต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งรัฐจะต้องดำเนินการร่วมกันกับต่างประเทศ มอเตอร์ไฟฟ้า แบตเตอรี มันต้องมีการเจรจาเงื่อนไข สิทธิประโยชน์ในการลงทุน การตั้งโรงงาน ทุกอย่างมันอยู่ที่ความมั่นใจ ความไว้เนื้อเชื่อใจ อัตราภาษี สิทธิประโยชน์อื่นๆ นะครับ บางครั้งต้องเป็นสิทธิประโยชน์ที่ไม่ใช่ภาษี เพราะอันนี้คือทุกประเทศเขาทำกันแบบนี้หมด การค้าการลงทุนแต่ทำอย่างไร สิ่งแวดล้อมจะไม่เสียหาย ท้องถิ่นจะได้ประโยชน์ เราต้องร่วมกันคิดนะครับ อย่าไปขัดแย้งทุกเรื่อง ทำไรไม่ได้ ทุกเรื่องเราจะได้เงินทองมาจากไหน ทั้งประเทศทั้งประชาชนทั้งธุรกิจมันไม่มีทางหาเงินมาได้ทั้งสิ้น วันนี้สิ่งสำคัญที่สุด คือ ความมีเสถียรภาพทางการเมือง ความระเบียบเรียบร้อย และนโยบายของประเทศ ซึ่งเรามีความชัดเจนมากขึ้นตามลำดับ ด้านความมั่นคงรัฐบาลนี้จำเป็นต้องผลักดันให้มีการทำยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้สอดคล้องกัน รวมไปถึงข้อเสนอแนะของสภาปฏิรูปแห่งชาติ แผนปฏิรูปมันต้องสอดคล้อง ทั้ง 3 อย่าง ต้องบรรจุลงไปด้วยเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ระยะยาว นักลงทุนต้องการความมั่นใจรัฐบาลก็ต้องสร้างความเชื่อมั่นปัจจุบันก็เป็นที่หน้ายินดีนะครับได้รับรายงานว่านักลงทุนญี่ปุ่นยังมีความเชื่อมั่นต่อไทยและเป็นเพื่อนกันมายาวนานแล้ว และแสดงความสนใจว่าจะขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ไม่เฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่คนญี่ปุ่นมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว หรือมีฐานการผลิตที่เข้มแข็งในไทยอยู่แล้ว เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อุอุตสาหกรรมอีเล็คโทรนิกส์ อุตสาหกรรมไฟฟ้า จะก้าวไปสู่การผลิตที่มีระดับเทคโนโลยีที่สูงขึ้น ต่อยอด เชื่อมโยง สู่โลกอนาคตสร้างคุณภาพ รวมทั้งมุ่งไปสู่ภาคบริการเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น

1. เรื่องการลงทุนไม่ว่าจะเป็นด้านการวิจัยหรือพัฒนา เพื่อสนับสนุนกิจการเดิม

2. การจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ

3.การจัดตั้งการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการลงทุนใหม่ของ BOI

ทั้งนี้ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา มีโครงการของนักลงทุนญี่ปุ่นได้รับการอนุมัติ ให้ส่งเสริมการลงทุน จำนวน 121 โครงการ มูลค่า 20,000 กว่าล้านบาท มีหลายประเทสให้ความสนใจ ทำนองนี้ด้วยนะครับ การที่ประเทศไทย จะสามารถก้าวไปสู่ในตำแหน่ง บทบาทนำร่วมกับสมาชิกอาเซียนอื่นๆ นั้น การเป็นศูนย์กลางด้านอื่นๆ ในภูมิภาค ต้องยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ทั้งเรื่องคุณภาพ มาตรฐานสินค้า แล้วต้องเร่งสร้างเครือข่าย บนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่เรียกว่า การสร้างระบบลอจิสติกส์ พื้นฐานในเรื่องของ ICT โครงสร้างพื้นฐาน รัฐบาลได้เร่งลงทุนในเฟสแรก ในปี 2559 นี้ ในโครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ทุกหมู่บ้านใช้งบประมาณ 15,000 ล้านบาท เฟสที่ 2 ในปี 2560 จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายระหว่างประเทศใช้งบประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งมีความสสำคัญในการนำองค์ความรู้ไปสู่ชุมชน ท้องถิ่น สถาบันการศึกษา และการนำสินค้า ธุรกรรม การค้าต่างๆ จากแหล่งผลิตในชุมชนไปสู่ผู้ซื้อ ในทุกๆ ภูมิภาคของประเทศก็จะเกิดเป็นธุรกิจออนไลน์ที่ครบวงจร มีระบบโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม ที่กล่าวมาแล้ว สำหรับเพื่อขนส่งคน ขนส่งสินค้า เพื่อธุรกิจท่องเที่ยว สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ต้องเชื่อมโยงทั้งหมด ต้องสอดคล้องกัน รวมทั้งไปเชื่อมโยงเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เมืองท่า เมืองอุตสาหกรรม คลัสเตอร์อุตสาหกรรม รวมทั้งการยกระดับศูนย์ดิจิทัลชุมชน เพื่อใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ชุมชนได้อย่างต่อเนื่องทั่วถึง โดยประชาชนเรียนรู้เอง เกษตรกรมาใช้เอง เพื่อจะส่งเสริมสนับสนุนผู้ประกอบรายใหญ่ ในการทำการค้าออนไลน์ เพื่อจะรองรับการเติบโตทางการค้าของโลกในอนาคต ซึ่งมูลค่าการค้าและธุรกรรมทางการเงินส่วนใหญ่ เกิดจากแอปพลิเคชัน ผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ถือเป็นอันดับหนึ่ง

รองมาก็เป็นเครื่องทือที่ใช้เทคโนโลยีออนไลน์ หรือเครือข่ายบนอินเทอร์เน็ต หรือ Cloud เทคโนโลยี ดังนั้นผู้ประกอบการ SMEs ต้องปรับตัวก้าวให้ทันโลก หันมาใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อการค้าออนไลน์ ผมอยากฝากดูแลผู้พิการด้วยให้เข้าถึงได้ด้วย ผมได้สั่งการไปแล้ว ใน ครม. กระทรวงไอซีที ดูแลคนพิการให้มากขึ้น โดยใช้ ระบบดิจิทัล เข้าไปเสริม

ทั้งนี้ผลในการจัดตั้งศูนย์ดิจิทัลชุมชนนั้นก็คือ การบ่มเพาะผู้ประกอบการ Startup SMEs ได้ประมาณ 1,500 ราย ภายใน 1 ปี 6 เดือน พัฒนาสินค้าต้นแบบ 300 รายการ สินค้าชุมชนอย่างน้อย 10,000 ราย เราต้องต่อยอดโครงการ ปลูกกล้าคืนดิน บ่มเพาะให้เป็นเกษตรกรดิจิทัล หรือ Smart Farmer 16,000 ราย เน้นสินค้าเกษตรอินทรีย์ พืชผัก ผลไม้ เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs มีการค้าขายครบวงจร 15,000 ราย และการสร้างสินค้าออนไลน์ 100,000 รายเป็นต้น

ทั้งนี้ก็ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ตลาดนัดชุมชน วันนี้เกิดขึ้นแล้วหลายแห่งด้วยกัน สมัยรัฐบาลนี้ ต่อไปก็ขายใหญ่มากยิ่งขึ้น อย่างยั่งยืน รัฐบาลให้การส่งเสริมในเรื่องของตลาด ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ประชาชนสามารถจะเป็นทางเลือกจากพ่อค้าคนกลาง หรือไปขายที่ไกลๆ เราสามารถจัดตั้งในพื้นที่ขึ้นมาได้ มันจะเป็นการดี สามารถเป็นการกำหนดราคาพัฒนาคุณภาพ และอย่าให้มันสกปรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพัฒนาไปสู่ตลาดอินทรีย์ เกษตรอินทรีย์เหล่านี้ มันก็จะทำให้คนไปแย่งกันซื้อ ไปเป็นทางเลือกให้แก่ประชาชนเขาด้วย ทั้งในรูปแบบของตลาดสด ตลาดกลาง ตลาดสี่มุมเมือง มันต้องเพิ่มยิ่งกว่าเดิม
วันนี้พี่น้องเกษตรกรก็ลำบากไม่รู้จะไปขายใครเพราะมันไกล ก็ต้องขายคนกลางไป ราคามันก็ตก วันนี้เราจะต้องใช้เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนสินค้าชุมชน โอท็อป ประชารัฐ ลดปัญหาพ่อค้าคนกลาง กำหนดราคาให้ได้ตามข้อเท็จจริงด้วยหลักการและเหตุผล เราจำเป็นต้องส่งเสริมทั้งความรู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบัญชี การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ ให้มีรูปแบบการบริหารจัดการที่เป็นมาตรฐาน มีเส้นทางจราจร มีที่จอดรถถูกสุขลักษณะ มีการกำจัดขยะ มีการจัดเขตสุขาภิบาลที่เหมาะสม คืออย่ารอรัฐบาลทำอย่างเดียว ท่านต้องทำของท่านไปด้วย อย่ามุ่งหวังว่าราชการจะต้องมาช่วยมาเสริมตลอดเวลา เขาก็ให้หลักๆ ให้ ที่เหลือท่านก็ต้องช่วยกันทำ ผลประโยชน์อยู่กับท่านทั้งสิ้น เราต้องเอาแง่คิดแบบนักธุรกิจเข้ามาเสริมด้วย รัฐบาล ข้าราชการ ก็ต้องไปคิดแบบนักธุรกิจบ้าง แต่เพื่อประชาชน ใช้ความร่วมมือตามแนวทางประชารัฐ ให้มีการบริหารงานในรูปแบบคณะกรรมการของชุมชน ก็จะทำให้เกิดความยั่งยืน จากนั้นเราอาจจะต่อยอดด้วยกิจกรรมเสริม เช่น มีการจับคู่ทางธุรกิจต่อไป การจัดนิทรรศการ การสาธิตและแสดงสินค้า ตลอดจนกิจกรรมสันทนาการ เช่น การแสดงพื้นบ้าน สิ่งใดก็ตามที่เป็นอัตลักษณ์ วันนี้รัฐบาลได้เริ่มต้นแบบไปแล้ว ในตลาดคลองผดุงกรุงเกษม 2 ปีแล้ว ข้างทำเนียบรัฐบาล ตอนนี้กำลังพัฒนาต่อให้เป็นตลาดน้ำ ในโอกาสที่เมื่อใดก็ตามที่น้ำเพียงพอก็เป็นเส้นทางสัญจรทางเรือไปได้ด้วย

กระทรวงมหาดไทยก็ได้ดำเนินการไปแล้วในส่วนของคลองผดุงกรุงเกษมร่วมกับ กทม. ส่วนของต่างจังหวัด เราก็ได้มีการเปิดตลาดนัดชุมชนไปแล่้ว 2,039 แห่ง ในรัฐบาลนี้ มีเกษตรกร ผู้ประกอบการโอท็อปประชารัฐ กลุ่มอาชีพ ภาคข้าราชการ ภาคเอกชน และสินค้าธงฟ้าเข้าร่วมกัน วันนี้มียอดจำหน่ายรวมกว่า 5,600 ล้านบาท ท้ายที่สุดจะต้องเดินทาไงปสู่ตลาดประจำตำบล ตลาดประจำอำเภอ ต้องใช้งบประมาณทั้งสิ้น วันนี้เริ่มไปก่อน เพื่อจะเสริมการท่องเที่ยว และเชื่อมโยงกับชุมชนให้ได้ด้วย ทำอะไรก็ตามถ้ามันเยอะๆ มันต้องค่อยเป็นค่อยไป แต่มันจะเกิดได้เร็วก็คือ ประชาชนร่วมมือกัน รวมกลุ่มกัน ตอนนี้มันจะเร็วขึ้น

เรื่องสำคัญอีกประการหนึ่งคือเรื่องแรงงาน หรือทรัพยากรมนุษย์นั้น รัฐบาลนี้ถือว่าเป็นความสำคัญอย่างหนึ่งมากในการที่จะขับเคลื่อนประเทศ ปัจจุบันมีแรงงานประเภท 1.0 ที่ใช้แรงงานอย่างเดียว 2.0 ใช้เครื่องจักร เครื่องมือขนาดเล็ก 3.0 เล็ก กลาง ใหญ่ ผสมกัน เรามีอยู่หลายอย่างด้วยกัน ฉะนั้นเราไม่สามารถจะแก้คนเดียวไป 4.0 ได้ทั้งหมด ตอนนี้มีการปรับตัว ทุกคนต้องปรับตัว พัฒนาตนเอง พัฒนาเทคโนโลยี ด้วยความรู้ ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งทุนก็เดี๋ยวไปคุยกัน เนื่องจากว่าแนวโน้มของโลกในอนาคตนั้น จะมีการนำเครื่องยนต์กลไกเครื่องจักร อุปกรณ์อัจฉริยะมาใช้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ผมได้สั่งการให้กระทรวงแรงงาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินการสำรวจความต้องการแรงงานในอนาคตด้วย เพื่อจะจัดทำฐานแรงงานข้อมูลในประเภทต่างๆต่อไป

สำหรับการกำหนดมาตรการส่งเสริมทักษะความรู้ และรองรับการพัฒนาในอนาคตนั้น มีตัวเลขทางสถิติที่น่าสนใจ คือประมาณการความต้องการแรงงานอีก 10 ปีข้างหน้า ช่วงปี 2559 - 2568 จะเพิ่มขึ้นราว 2 ล้านคน เป็น 39.34 ล้านคน ในปี 2568 โดยแบ่งเป็น 1 แรงงานในอุตสาหกรรมลอจิสติกส์ มีความต้องการแรงงานเพิ่มเติมเกือบ 2 แสนคน ในช่วง 5 ปีข้างหน้า เป็นผู้ปฏิบัติงานราว 150,000 คน เป็นช่างเทคนิคราว 8,000 คน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อโครงการลงทุนระบบขนส่งทางรางแล้วเสร็จ ประเทศไทยมีความต้องการกำลังคนสำหรับการเดินรถ การซ่อมบำรุง ช่วงปี 2560 - 2564 ประมาณ 25,000 คน เป็นวิศวกรราว 4,500 คน ช่างเทคนิคราว 9,000 คน และเจ้าหน้าที่สาขาอื่นๆ เช่น พนักงานเดินรถในขบวนรถ ช่างฝีมือ เป็นต้น อีกกว่า 10,000 คน 2.คือแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ และผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ มีความต้องการแรงงานเพิ่มเติมประมาณ 70,000 คน ใน 5 ปีข้างหน้า และ3.แรงงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และบริการ มีความต้องการแรงงานเพิ่มเติมประมาณ 600,000 คน ใน 5 ปีข้างหน้าเป็นต้น สำหรับข้อมูลดังกล่าวนั้นผมได้สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ให้แต่ละกระทรวงที่เกี่ยวข้องได้นำไปใช้ประโยชน์เพื่อให้อยู่บนพื้นฐานของตัวเลขเดียวกัน เพื่อใช้ในการวางแผนการ การรวมนโยบาย การวางยุทธศาสตร์ของแต่ละกระทรวง และนำไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลให้ทันต่อการดำเนินการในอนาคตด้วย ที่ผ่านมานั้นรัฐบาลได้ดำเนินการในการบริหารจัดการแรงงานของประเทศในหลายมิติด้วยกัน เช่น 1.การสร้างงาน สร้างรายได้เพื่อคนไทยทุกคน ทุกกลุ่มมีงานทำ ด้วยสมาร์ทจ็อบเซ็นเตอร์ ได้แก่การบรรจุงานในประเทศ 440,000 คน สร้างรายได้กว่า 62,000 ล้านบาท 2.การจัดส่งแรงงานไปทำงานต่างประเทศ มากกว่า 80,000 คน สร้างรายได้ส่งกลับประเทศราว 66,000 ล้านบาท 3.ส่งเสริมการประกอบอาชีพแก่แรงงานนอกระบบ โดยสนับสนุนให้กู้เงินกองทุนเพื่อรับงานไปทำที่บ้าน กว่า 280 กลุ่ม 4.การกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน เพิ่มอีก 20 สาขาอาชีพ ค่าจ้างสูงสุดขยายได้ไปถึง 550 บาทต่อวัน แต่ต้องมีฝีมือนะครับ 5.การจ้างงานคนพิการกว่า 7,000 คน ซึ่งก็ต้องเพิ่มขึ้นในอนาคตอีกนะครับ 6.พัฒนาทักษะฝีมือแรงงานไทยมากกว่า 2,700,000 คน

7.การเพิ่มประสิทธิภาพแรงงาน ลดต้นทุนการผลิตได้มากกว่า 400 ล้านบาท 8.การทำค่าใช้จ่ายมาลดหย่อนภาษี เฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท และ 9.การพัฒนาแรงงานเพื่อรองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้กว่า 30,000 คน เป็นต้น สำหรับการปรับระบบบริหารราชการแรงงานต่างด้าวให้รองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และยิ่งในกลุ่มประเทศ CLMBT โดยจะต้องมีความรับผิดชอบร่วมกันในทุก ๆ ด้านโดยเฉพาะการส่งแรงงานไปจนถึงการส่งกลับ และการดูแลแรงงานเพื่อรักษาความเป็นธรรมตามกฎหมาย ปัจจุบันสามรถดำเนินการดังนี้ 1.นำเข้าแรงงานตาม MOU ได้แล้ว กว่า 300,000 คน

2.สามารถจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวในกิจการประมงทะเลและแปรรูปสัตว์น้ำราว 160,000 คน 3.จดทะเบียนใหม่ให้แรงงานเดิมที่ใบอนุญาติหมดอายุกว่า 700,000 คน 4.ตรวจการทำงานของแรงงานต่างด้าวมากกว่า 80,000 คน 5.ดำเนินคดีกับนายจ้างและแรงงานต่างด้าวที่กระทำการผิดกฎหมายกว่า 3,000 คน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์และเป็นวาระแห่งชาติ

นอกจากนั้นในกรอบประชาคมโลกในเรื่องของการคุ้มครองแรงงาน ส่งเสริมสวัสดิการ มาตรฐานความปลอดภัยในการทำงาน รัฐบาลนี้ได้ยื่นสัตยาบันศาลอนุสัญญา ILO ซึ่งถูกละเลยมากว่า 10 ปี ในห้วงที่ผ่านมา อันได้แก่ 1.สัตยาบันอนุสัญญาว่าด้วยแรงงานทางทะเลให้ลูกเรือแรงงาน และเจ้าของเรือเดินทะเลของไทยได้รับการคุ้มครองตามมาตรฐานสากล 2.สัตยาบันอนุสัญญาว่าด้วยกรอบเชิงส่งเสริมการดำเนินงานความปลอดภัย และอาชีวอนามัย เพื่อยืนยันว่าประเทศไทยนั้นได้ดำเนินการอยู่ในระดับมาตรฐานสากล

รวมทั้งได้มีการพัฒนากฎหมายสำคัญด้านแรงงานที่สำคัญ เช่น 1.การออกกระทรวงกำหนดสถานที่ที่ห้ามนายจ้างให้ลูกจ้างที่เป็นเด็กต่ำกว่า 18 ปี เข้าทำงาน เพื่อป้องกันการนำไปสู่การค้ามนุษย์ 2.การจัดทำฐานข้อมูลการทำงานของเด็กเป็นครั้งแรก เพื่อวางแผนจัดการปัญหาการใช้แรงงานตามมาตรฐานโลก นอกจากนั้นได้มีการปฏิรูปประกันสังคม เพิ่มและขยายสิทธิผู้ประกันตนเช่นค่าคลอดบุตร เงินสงเคราะห์บุตร เงินทดแทนการขาดรายได้ตลอดชีวิตกรณีทุพพลภาพ รวมทั้งจัดขยายคุ้มครอลเกษตรกรและประมงด้วย ทั้งหมดต้องทำเป็นระบบได้มาตรฐานสากล ให้รองรับกับการพัฒนาประเทศไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ในอนาคตนะครับ ทุกอย่างต้องใช้งบประมาณ รายได้จะมาจากไหน นั่นแหละคือต้องตอบคำถาม ไม่ว่าเราต้องนำพาไปสู่การค้าการลงทุนที่มีมูลค่าสูงขึ้นกว่าเดิม ถ้ารายได้ของประเทศยังเท่าเดิม กิจการเดิมๆ อยู่ มันไปไม่ได้ทั้งหมดที่ทุกคนต้องการ สิ่งสำคัญในเรื่องของทรัพยากรมนุษย์ก็คือ อย่าลืมนะครับเรื่องการเรียนรู้ ที่ผมเคยพูดหลายครั้งแล้วก็คือ

1.คือการเรียนรู้ตลอดชีวิต การพัฒนาทักษะเด็กเล็กก่อนวัยเรียน เพื่อจะเป็นอนาคตของชาติ 20 ปีข้างหน้า ทักษะเป็นเรื่องจำเป็นนะครับ สำหรับเด็กเล็ก และ 2.การศึกษาช่วยลดความเหลื่อมล้ำ เพราะเรายังมีความแตกต่างในระดับประชาชน อาชีพ รายได้เหล่านี้มีอยู่มาก

เพราะฉะนั้นการที่เราเดินหน้าไปสู่ ไทยแลนด์ 4.0 นั้น จะเป็นการสร้างรายได้ประเทศให้สูงขึ้น แต่เราก็เป็นห่วงสำหรับ 1.0 ใช้แรงงานอย่างเดียว 2.0 ใช้ขนาดเล็ก 3.0 ใช้เล็กกับใหญ่ เหล่านี้ยังจำเป็นต้องมีอยู่นะครับ แต่เพียงแต่พัฒนาให้ใช้เทคโนโลยีที่สูงขึ้น แต่พยายามอย่าลดคนงาน ไม่อย่างนั้นแรงงานเราก็ไม่มีงานทำ มันยังคงมีความจำเป็นอยู่ ไม่อย่างนั้นพอว่างงานเยอะๆ แล้วจะทำยังไงกัน นี่ก็เริ่มมีการปรับเปลี่ยน เปลี่ยนผ่านไปหลายบริษัทแล้ว เราจำเป็นต้องพัฒนาทักษะฝีมือ ยกระดับฝีมือตัวเองไปด้วย ไปสู่ที่ผมกล่าวไปแล้วเมื่อสักครู่ที่เขาต้องการ รัฐบาลให้ความสำคัญกับคนกลุ่มนี้เป็นพิเศษ รวมทั้งพี่น้องเกษตรกร ทุกประเภทต้องช่วยเหลือส่งเสริมซึ่งกันและกัน แบบพี่จูงน้อง เพื่อนจูงเพื่อน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เราต้องเข้มแข็งไปด้วยกัน ต้องเตรียมการแก้ปัญหาการว่างงานของแรงงานต่างๆ ตามโรงงาน ซึ่งเขากำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคใหม่ แต่วันนั้นสั่งงานไปแล้ว หารือไปแล้วว่า หามาตรการ อาจจะต้องนำเข้ามาสู่ในช่วง.. จะพัฒนาทักษะเขาต้องไปเรียนด้วย ไปพัฒนาฝีมือด้วย แต่เขาต้องมีรายได้ที่จะกินจะใช้อยู่จะทำยังไง อาจจะต้องมาทำในเรื่องของการเกษตรบ้าง โดยรัฐบาลนั้นเข้าไปดูแล ผู้ที่ว่างงานเหล่านี้ เพื่อจะผลิตสินค้าอะไรต่างๆ ที่เป็นสินค้าที่มีราคา ไม่อย่างนั้นเขาไปเรียนแล้วจะเอาเงินไหนกินอยู่ ครอบครัวจะอยู่กันยังไงไม่รู้เหมือนกัน ผมให้ความสำคัญในเรื่องนี้นะครับ อย่ามองว่ารัฐบาลจะไปเอื้อประโยชน์ขนาดใหญ่ กลุ่มทุนไม่ใช่ ผมดูกลุ่มเล็กเป็นหลัก กลุ่มใหญ่ก็ทำเพื่อรายได้ประเทศ

สุดท้ายนี้ระหว่างวันที่ 14-16 กรกฎาคม 2559 นี้ ผมอยู่ระหว่างการเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมเอเชีย-ยุโรป หรือ อาเซม ณ กรุงอูลานบาตอร์ ประเทศมองโกเลีย ซึ่งจะเป็นการหารือของผู้นำประเทศสมาชิกอาเซมทั้ง 51 ประเทศ ในเรื่องของการส่งเสริมความร่วมมือด้านต่างๆ เช่น การพัฒนาอย่างยั่งยืน ในเรื่องของการเตรียม การรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การส่งเสริมความเชื่อมโยง การรักษาความมั่นคงทางทะเล รวมทั้งจะได้มีการกำหนดวิสัยทัศน์ในทศวรรษที่ 3 ร่วมกัน ในสัปดาห์หน้า และผมจะกลับมาเล่าให้พี่น้องประชาชนฟังอีกครั้งหนึ่งในช่วงวันหยุดยาวในสัปดาห์นี้ ขอให้ทุกคนใช้เวลาให้เป็นประโยชน์กับครอบครัว มีความปลอดภัยในการเดินทางทุกคน มีความสุขนะครับ อย่าดื่มสุรา ขับรถใช้ความเร็วเกินกำหนด ประมาท จนเกิดอุบัติเหตุ ไม่มีกฎหมายใดที่จะช่วยท่านได้จากการบาดเจ็บสูญเสีย เว้นแต่ตัวท่านเองต้องช่วยตัวเองด้วย

ทั้งนี้เพื่อบุคคลอันเป็นที่รักคือครอบครัวท่านเอง ผมขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร พลเรือนไว้ และอาสาสมัครต่างๆ ในการที่เสียสละช่วยดูแลในช่วงวันหยุดราชการยาวๆ ในทุกพื้นที่ และขอให้กำลังใจในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย เพราะมีทั้งดูแลประชาชน ป้องกันตนเอง และสร้างความสงบเรียบร้อยขึ้นในพื้นที่ให้ได้โดยเร็ว ขอขอบคุณครับ สวัสดีครับ ขอให้มีความสุขครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น