นายพิชญา นาควัชระ ผู้ตรวจราชการกรุงเทพมหานครสูง กรุงเทพมหานคร (กทม.)ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการดำเนินโครงการปรับปรุงห้องทำงานคณะผู้บริหาร กทม. งบประมาณ 16.5 ล้านบาท ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) เข้ามาตรวจสอบตั้งข้อสังเกตุส่อฮั้วประมูลว่า หลังจากได้รับคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบจาก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าการกรุงเทพมหานคร เรียบร้อยแล้ว เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาตนก็เริ่มดำเนินการทันที โดยได้นัดประชุมคณะกรรมการฯ นัดแรกไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อกำหนดกรอบการทำงานว่าจะตรวจสอบอย่างไร มีการวางแนวทาง และแผนผังว่ามีหน่วยงานใดหรือใครที่เกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าวบ้าง หลังจากนั้นก็ได้ทำหนังสือขอเอกสารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ สำนักงบประมาณ และสำนักการโยธา (สนย.) เพื่อนำเอกสารที่ได้มาทั้งหมดมาประเมินว่าใครเกี่ยวข้องบ้างหลังจากนั้น จึงจะเรียกตัวบุคคลเข้าให้ข้อมูลเป็นรายบุคคลต่อไป ซึ่งบุคคลที่เกี่ยวข้องคงไม่ต่างจากที่ สตง.แจ้งมาเพื่อขอให้เข้าให้ข้อมูล
ทั้งนี้ในส่วนของข้าราชการที่เกษียณไปแล้ว จะทำหนังสือแจ้งไป หากใครสามารถมาให้ข้อมูลได้ก็ไม่มีปัญหา หรือจะส่งเป็นจดหมายมาก็ได้ แต่หากได้รับหนังสือเชิญแล้วไม่มา ถือว่าเป็นการยอมรับกับข้อกล่าวหา ซึ่งตนเชื่อว่าทุกคนน่าจะให้ความร่วมมือดี
นายพิชญา กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามตนจะตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาว่าไปตามข้อเท็จจริง จะไม่มีการเข้าข้างใคร หรือช่วยเหลือปกปิดข้อมูลในเรื่องใดๆ อย่างแน่นอน เนื่องจากเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องขององค์กรของตนเองด้วย จึงไม่อยากให้เสียชื่อเสียง เนื่องจากมีหน่วยงานตรวจสอบอย่าง สตง.เข้ามาดำเนินการด้วย จึงต้องมีความละเ อียดรอบคอบ เพื่อไม่ให้หน่วยงานอื่นว่า กทม.ได้ว่าไม่มีความเป็นกลางซึ่งการตรวจสอบน่าจะใช้เวลาไม่เกิน 2 เดือนอย่างที่ตั้งเป้าไว้ในช่วงแรก เนื่องจากหน่วยงานที่ตรวจสอบอย่าง สตง.เองก็ดำเนินการคืบหน้าไปมาก ในส่วนของ กทม.เองไม่อยากให้ล่าช้ากว่าหน่วยงานอื่น เนื่องจากการให้ข้อมูลของผู้เกี่ยวข้องคงไม่แตกต่างกันมากนักตามข้อเท็จจริง
ทั้งนี้ในส่วนของข้าราชการที่เกษียณไปแล้ว จะทำหนังสือแจ้งไป หากใครสามารถมาให้ข้อมูลได้ก็ไม่มีปัญหา หรือจะส่งเป็นจดหมายมาก็ได้ แต่หากได้รับหนังสือเชิญแล้วไม่มา ถือว่าเป็นการยอมรับกับข้อกล่าวหา ซึ่งตนเชื่อว่าทุกคนน่าจะให้ความร่วมมือดี
นายพิชญา กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามตนจะตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาว่าไปตามข้อเท็จจริง จะไม่มีการเข้าข้างใคร หรือช่วยเหลือปกปิดข้อมูลในเรื่องใดๆ อย่างแน่นอน เนื่องจากเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องขององค์กรของตนเองด้วย จึงไม่อยากให้เสียชื่อเสียง เนื่องจากมีหน่วยงานตรวจสอบอย่าง สตง.เข้ามาดำเนินการด้วย จึงต้องมีความละเ อียดรอบคอบ เพื่อไม่ให้หน่วยงานอื่นว่า กทม.ได้ว่าไม่มีความเป็นกลางซึ่งการตรวจสอบน่าจะใช้เวลาไม่เกิน 2 เดือนอย่างที่ตั้งเป้าไว้ในช่วงแรก เนื่องจากหน่วยงานที่ตรวจสอบอย่าง สตง.เองก็ดำเนินการคืบหน้าไปมาก ในส่วนของ กทม.เองไม่อยากให้ล่าช้ากว่าหน่วยงานอื่น เนื่องจากการให้ข้อมูลของผู้เกี่ยวข้องคงไม่แตกต่างกันมากนักตามข้อเท็จจริง
