รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ที่ศาลจังหวัดเลย นางสาว ส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความจากมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน พร้อมกลุ่มคนรักบ้านเกิดกว่า 300 คน ต่อต้านเหมืองทองคำ ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย เดินทางมาฟังคำพิพากษาคดีสำคัญ 2 คดี ซึ่งเป็นข้อพิพาทระหว่างชาวบ้านกับกลุ่มผู้ประกอบการเหมืองแร่
โดยนางสาว ส.รัตนมณีกล่าวว่า คดีแรก เป็นข้อพิพาทจากเหตุการณ์ปิดล้อมชุมชนเพื่อขนแร่ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2557 เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.5440/2557 พนักงานอัยการเป็นโจทก์ พร้อมนายสุรพันธ์ รุจิไชยวัฒน์ กับพวกรวม 9 คน เป็นโจทก์ร่วม ยื่นฟ้องพ.ท.ปรมินทร์ ป้อมนาค จำเลยที่ 1 และ พล.ท.ปรเมษฐ์ ป้อมนาค จำเลยที่ 2 ความผิดอาญา ข้อหาทำร้ายร่างกาย กักขัง หน่วงเหนี่ยว ร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2557 เวลาประมาณ 22.00 น. มีชายชุดดำติดอาวุธประมาณ 100 คนเข้ามาในพื้นที่บ้านนาหนองบง ทำการปิดล้อมตามจุดตรวจชุมชนและจับควบคุมตัวชาวบ้านที่อยู่ประจำจุดตรวจ 20 คนเอาไว้ ในจำนวนนี้รวมนายสุรพันธ์และนายสมัย ภักมี ซึ่งเป็นแกนนำชาวบ้านกลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดอยู่ด้วย ขณะนั้นมีเสียงปีนดังอยู่ในพื้นที่เป็นระยะ และมีการทำลายกำแพงซึ่งชาวบ้านสร้างขึ้นตามระเบียบชุมชนว่าด้วยการห้ามรถบรรทุกสารเคมีอันตรายใช้เส้นทางร่วมกับชุมชน ขณะเดียวกันได้ เปิดเส้นทางเพื่อให้รถบรรทุกขนแร่วิ่งผ่าน
ทั้งนี้ศาลเห็นว่าชายฉกรรจ์ที่เข้ามาในพื้นที่ เพื่อต้องการให้บริษัทเข้ามาขนแร่ ทำให้จำเลยทั้งสองลงมือดำเนินการ โดยก่อนหน้านั้นได้เดินทางไปพบชาวบ้านเพื่อขอขนแร่ แต่ชาวบ้านบอกว่าไม่เกี่ยวกัน ดังนั้น วันที่ 15 พฤษภาคม 2557 จึงนำกองกำลังเข้าไปในหมู่บ้าน โดยมีพยานยืนยันว่าพ.ท.ปรมินทร์อยู่ในที่เกิดเหตุและทำร้ายชาวบ้าน
ส่วนจำเลยที่ 2 ศาลนำสืบว่า มีการสั่งการโดยเจ้าตัวยอมรับว่าเดินทางมาจริงแต่ถูกหลอกมา แต่มีพยานคนนอกไม่ใช่ชาวบ้าน ซึ่งเป็นคนขับรถขอองกลุ่มชายฉกรรจ์ยืนยันลักษณะว่า เห็นจำเลยที่ 2 ไปร่วมสั่งการที่ลานมันโดยจำเลยที่ 2 ยอมรับว่าเดินทางมาจริง แต่อ้างว่าถูกหลอกให้ไป ซึ่งศาลเห็นว่าไม่น่าเป็นเช่นนั้น อีกทั้ง ศาลมองว่า เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ศาลเชื่อพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วม จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดด้วย
ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษพ.ท.ปรมินทร์ จำเลยที่ 1 ทั้งหมด 2 กระทงคือ 1.หน่วงเหนี่ยวกักขังและทำร้ายร่างกาย มีโทษจำคุก 2 ปี 2.มีอาวุธไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุก 12 เดือน รวมลงโทษจำคุก 2 ข้อหา 2 ปี 12 เดือน นอกจากนี้ ศาลยังสั่งให้จำเลยจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ชาวบ้านซึ่งเป็นโจทก์ทั้ง 9 ราย รวม 165,600 บาทภายใน 15 วัน ส่วนพล.ท.ปรเมศฐ์ จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดในฐานะถือเป็นตัวการร่วม แต่ให้การเป็นประโยชน์ จึงลดโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 1 ปี กับ 12 เดือน
นางสาว ส.รัตนมณีกล่าวอีกว่า สำหรับคดีที่ 2 เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.2991/2558 หมายเลขแดง อ.3992/2559 ที่บริษัท ทุ่งคำ จำกัด เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมัย ภักดิ์มี ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย และนายกองลัย ภักดิ์มี ผู้ใหญ่บ้านนาหนองบง หมู่ที่ 3 เป็นจำเลย ข้อหาเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เกี่ยวกับการก่อสร้างซุ้มประตูและติดป้าย “หมู่บ้านนี้ไม่เอาเหมือง” ซึ่งคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นตัดสินยกฟ้อง เพราะคดีไม่มีมูล แต่โจทก์ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ่ยืนตามศาลชั้นต้นคือ ยกฟ้อง
“คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น เพราะถือว่าเรื่องการทำซุ้มประตู ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ แต่เป็นสิทธิของแต่ละบุคคล รวมทั้งเรื่องชี้นำชาวบ้านไปชุมนุมต่างๆก็ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล ศาลจึงยกฟ้อง ซึ่งคดีนี้ไม่สามารถฎีกาได้แล้ว”นางสาว ส.รัตนมณีกล่าว
โดยนางสาว ส.รัตนมณีกล่าวว่า คดีแรก เป็นข้อพิพาทจากเหตุการณ์ปิดล้อมชุมชนเพื่อขนแร่ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2557 เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.5440/2557 พนักงานอัยการเป็นโจทก์ พร้อมนายสุรพันธ์ รุจิไชยวัฒน์ กับพวกรวม 9 คน เป็นโจทก์ร่วม ยื่นฟ้องพ.ท.ปรมินทร์ ป้อมนาค จำเลยที่ 1 และ พล.ท.ปรเมษฐ์ ป้อมนาค จำเลยที่ 2 ความผิดอาญา ข้อหาทำร้ายร่างกาย กักขัง หน่วงเหนี่ยว ร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2557 เวลาประมาณ 22.00 น. มีชายชุดดำติดอาวุธประมาณ 100 คนเข้ามาในพื้นที่บ้านนาหนองบง ทำการปิดล้อมตามจุดตรวจชุมชนและจับควบคุมตัวชาวบ้านที่อยู่ประจำจุดตรวจ 20 คนเอาไว้ ในจำนวนนี้รวมนายสุรพันธ์และนายสมัย ภักมี ซึ่งเป็นแกนนำชาวบ้านกลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดอยู่ด้วย ขณะนั้นมีเสียงปีนดังอยู่ในพื้นที่เป็นระยะ และมีการทำลายกำแพงซึ่งชาวบ้านสร้างขึ้นตามระเบียบชุมชนว่าด้วยการห้ามรถบรรทุกสารเคมีอันตรายใช้เส้นทางร่วมกับชุมชน ขณะเดียวกันได้ เปิดเส้นทางเพื่อให้รถบรรทุกขนแร่วิ่งผ่าน
ทั้งนี้ศาลเห็นว่าชายฉกรรจ์ที่เข้ามาในพื้นที่ เพื่อต้องการให้บริษัทเข้ามาขนแร่ ทำให้จำเลยทั้งสองลงมือดำเนินการ โดยก่อนหน้านั้นได้เดินทางไปพบชาวบ้านเพื่อขอขนแร่ แต่ชาวบ้านบอกว่าไม่เกี่ยวกัน ดังนั้น วันที่ 15 พฤษภาคม 2557 จึงนำกองกำลังเข้าไปในหมู่บ้าน โดยมีพยานยืนยันว่าพ.ท.ปรมินทร์อยู่ในที่เกิดเหตุและทำร้ายชาวบ้าน
ส่วนจำเลยที่ 2 ศาลนำสืบว่า มีการสั่งการโดยเจ้าตัวยอมรับว่าเดินทางมาจริงแต่ถูกหลอกมา แต่มีพยานคนนอกไม่ใช่ชาวบ้าน ซึ่งเป็นคนขับรถขอองกลุ่มชายฉกรรจ์ยืนยันลักษณะว่า เห็นจำเลยที่ 2 ไปร่วมสั่งการที่ลานมันโดยจำเลยที่ 2 ยอมรับว่าเดินทางมาจริง แต่อ้างว่าถูกหลอกให้ไป ซึ่งศาลเห็นว่าไม่น่าเป็นเช่นนั้น อีกทั้ง ศาลมองว่า เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ศาลเชื่อพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วม จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดด้วย
ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษพ.ท.ปรมินทร์ จำเลยที่ 1 ทั้งหมด 2 กระทงคือ 1.หน่วงเหนี่ยวกักขังและทำร้ายร่างกาย มีโทษจำคุก 2 ปี 2.มีอาวุธไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุก 12 เดือน รวมลงโทษจำคุก 2 ข้อหา 2 ปี 12 เดือน นอกจากนี้ ศาลยังสั่งให้จำเลยจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ชาวบ้านซึ่งเป็นโจทก์ทั้ง 9 ราย รวม 165,600 บาทภายใน 15 วัน ส่วนพล.ท.ปรเมศฐ์ จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดในฐานะถือเป็นตัวการร่วม แต่ให้การเป็นประโยชน์ จึงลดโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 1 ปี กับ 12 เดือน
นางสาว ส.รัตนมณีกล่าวอีกว่า สำหรับคดีที่ 2 เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.2991/2558 หมายเลขแดง อ.3992/2559 ที่บริษัท ทุ่งคำ จำกัด เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมัย ภักดิ์มี ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย และนายกองลัย ภักดิ์มี ผู้ใหญ่บ้านนาหนองบง หมู่ที่ 3 เป็นจำเลย ข้อหาเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เกี่ยวกับการก่อสร้างซุ้มประตูและติดป้าย “หมู่บ้านนี้ไม่เอาเหมือง” ซึ่งคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นตัดสินยกฟ้อง เพราะคดีไม่มีมูล แต่โจทก์ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ่ยืนตามศาลชั้นต้นคือ ยกฟ้อง
“คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น เพราะถือว่าเรื่องการทำซุ้มประตู ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ แต่เป็นสิทธิของแต่ละบุคคล รวมทั้งเรื่องชี้นำชาวบ้านไปชุมนุมต่างๆก็ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล ศาลจึงยกฟ้อง ซึ่งคดีนี้ไม่สามารถฎีกาได้แล้ว”นางสาว ส.รัตนมณีกล่าว