พล.อ.สกนธ์ สัจจานิตย์ ประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นประธานเปิดงานสัมมนา “พลังงานไทย พึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืนเพื่อก้าวสู่ AEC” โดยมีคณะกรรมาธิการจากคณะต่าง ๆ ผู้แทนจากกระทรวง อาทิ กระทรวงพลังงาน กระทรวงคมนาคม และผู้ประกอบการภาคเอกชน เข้าร่วมสัมมนา
พล.ท.อำพน ชูประทุม ประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาและติดตามด้านพลังงานฟอสซิล กล่าวว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยมีการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลจากต่างประเทศมากเกินไป ทำให้ไทยไม่มีการพัฒนาองค์ความรู้และทักษะเท่าที่ควร แต่การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ทำให้ไทยต้องปรับตัวโดยใช้ความได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ดึงดูดการลงทุนและเป็นศูนย์กลางพลังงานอาเซียน พร้อมเห็นว่าภาครัฐควรสนับสนุน และวางโครงสร้างพื้นฐานให้ภาคเอกชนพร้อมที่จะแข่งขันได้ รวมถึงปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับพลังงานที่ไม่เอื้อต่อการแข่งขันที่เป็นธรรม รวมทั้งภาครัฐควรเพิ่มสัดส่วนการลงทุนด้านพลังงานมากขึ้น ลดการพึ่งพาจากภาคเอกชน พร้อมขับเคลื่อนพัฒนาปิโตรเลียมของประเทศ ด้วยยุทธศาสตร์ 3 ด้าน คือ 1.จัดทำแผนแม่บทความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อเป็นโอกาสในการขยายธุรกิจในกลุ่มประเทศอาเซียน 2.พัฒนาโครงข่ายท่อและคลังปิโตรเลียมในประเทศ เพื่อลดต้นทุนการขนส่งให้ถูกลง และสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้ และ 3.ส่งเสริมการค้าเสรีทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมให้มีการลงทุนเกิดการแข่งขันการนำเข้า และการส่งออกปิโตรเลียมอย่างเสรี
นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า โครงสร้างพื้นฐาน ภูมิศาสตร์ของประเทศ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ถือเป็นจุดแข็งและได้เปรียบประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน หากมีการแข่งขันด้านพลังงานอย่างเสรี ส่วนมาตรการภาษีเป็นสิ่งที่ต้องเร่งแก้ไข โดยคาดว่าปีนี้จะส่งออกดีเซลถึง 4,000 – 5,000 ล้านลิตร ตลาดส่งออกสำคัญคือ ลาว เวียดนาม และกัมพูชา
พล.ท.อำพน ชูประทุม ประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาและติดตามด้านพลังงานฟอสซิล กล่าวว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยมีการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลจากต่างประเทศมากเกินไป ทำให้ไทยไม่มีการพัฒนาองค์ความรู้และทักษะเท่าที่ควร แต่การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ทำให้ไทยต้องปรับตัวโดยใช้ความได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ดึงดูดการลงทุนและเป็นศูนย์กลางพลังงานอาเซียน พร้อมเห็นว่าภาครัฐควรสนับสนุน และวางโครงสร้างพื้นฐานให้ภาคเอกชนพร้อมที่จะแข่งขันได้ รวมถึงปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับพลังงานที่ไม่เอื้อต่อการแข่งขันที่เป็นธรรม รวมทั้งภาครัฐควรเพิ่มสัดส่วนการลงทุนด้านพลังงานมากขึ้น ลดการพึ่งพาจากภาคเอกชน พร้อมขับเคลื่อนพัฒนาปิโตรเลียมของประเทศ ด้วยยุทธศาสตร์ 3 ด้าน คือ 1.จัดทำแผนแม่บทความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อเป็นโอกาสในการขยายธุรกิจในกลุ่มประเทศอาเซียน 2.พัฒนาโครงข่ายท่อและคลังปิโตรเลียมในประเทศ เพื่อลดต้นทุนการขนส่งให้ถูกลง และสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้ และ 3.ส่งเสริมการค้าเสรีทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมให้มีการลงทุนเกิดการแข่งขันการนำเข้า และการส่งออกปิโตรเลียมอย่างเสรี
นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า โครงสร้างพื้นฐาน ภูมิศาสตร์ของประเทศ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ถือเป็นจุดแข็งและได้เปรียบประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน หากมีการแข่งขันด้านพลังงานอย่างเสรี ส่วนมาตรการภาษีเป็นสิ่งที่ต้องเร่งแก้ไข โดยคาดว่าปีนี้จะส่งออกดีเซลถึง 4,000 – 5,000 ล้านลิตร ตลาดส่งออกสำคัญคือ ลาว เวียดนาม และกัมพูชา
