นายพานทองแท้ ชินวัตร โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเมืองไทยในรอบ 10 ปี โดยมองว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมา 10 ปี รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้ถูกร่างถึง 2 ฉบับ จากคณะรัฐประหารและยังคงใช้สโลแกนเดิมคือ "รับไปก่อน เดี๋ยวค่อยมาแก้ทีหลัง" ทำให้ประเทศไทยยังไม่มีประชาธิปไตยแบบประเทศอื่น โดยรายละเอียดทั้งหมดมีดังนี้
คำพังเพยโบราณที่ว่า "สุกเอา เผากิน" ถ้าเอามาเปรียบเทียบให้อินเทรนด์ กับทศวรรษปัจจุบันน่าจะตรงกับคำว่า "รับๆ กันไปก่อน เดี๋ยวค่อยมาแก้ทีหลัง" ครับ
และคำๆ นี้ก็ตรงกับ มาตรฐานคุณภาพของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยถึง 2 ฉบับ ที่ถูกร่างขึ้นในช่วง ทศวรรษแห่งการรัฐประหาร 10 ปีให้หลังมานี้
การรัฐประหารถึง 2 ครั้งในช่วง 10 ปี ที่ประชาธิปไตยกำลังเบ่งบานในสากลโลก ส่งผลให้ประเทศไทย ได้เป็นที่ 1 ของอาเซียนสมความมุ่งหมาย แต่ไม่ใช่ทางด้านความเจริญทางเศรษฐกิจ หรือคุณภาพชีวิต แต่กลับเป็นทางด้านความห่างไกลประชาธิปไตยมากที่สุด ทิ้งห่างพม่าแชมป์เก่า ซึ่งปัจจุบันได้เข้าสู่ประชาธิปไตยเต็มใบ ไปหลายช่วงตัว
ฉบับแรกคือรัฐธรรมนูญฉบับปี 50 อันเป็นผลพวงของการรัฐประหารปี 49 ที่อดีต ผบ.ทบ.ท่านก่อนหน้านู้น เป็นผู้กระทำการรัฐประหาร ท่านใช้เวลา 1 ปี กว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งคืนอำนาจให้ประชาชน โดยใช้รัฐธรรมนูญภายใต้สโลแกน "รับๆ ไปก่อน เดี๋ยวค่อยมาแก้ทีหลัง" มาแล้วครั้งหนึ่ง
รัฐธรรมนูญที่เราจะได้มา ในอนาคตอันใกล้นี้ เป็นผลพวงของการรัฐประหารครั้งล่าสุด ผลงานของอดีตผบ.ทบ.อีกท่านหนึ่ง ที่ตอนนี้อัพเกรดตัวเอง ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเมื่อเปิดโรดแม๊ปดูแล้ว ที่สัญญาไว้ว่าจะคืนความสุขให้คนไทย โดยขอเวลาอีกไม่นานนั้น ท่านขอใช้เวลาร่วม 3 ปี จึงจะอนุญาตให้มีการเลือกตั้งได้
ผบ.ทบ.คนเก่า รัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน แล้วให้คนเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นมาใช้ อีก 8 ปีถัดมา ผบ.ทบ.อีกคนหนึ่งรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญที่คนเก่าร่างเอาไว้ แล้วให้คนเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่อีก ซึ่งก็มีการใช้สโลแกนแบบเดิมๆ อีกครั้งว่า "รับๆ ไปก่อน เดี๋ยวค่อยมาแก้ทีหลัง"
ครั้งก่อน รัฐประหารขณะที่คุณพ่อผมเป็นนายกฯ จนกระทั่งเมื่อผู้ก่อการฯ พ้นจากตำแหน่งไป จึงค่อยออกมายอมรับว่า เป็นบทเรียนแห่งความผิดพลาด และถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะไม่กระทำการฯ เช่นนั้น ให้ประเทศชาติต้องเสียหายอีก
ครั้งปัจจุบัน รัฐประหารขณะที่อาปูเป็นนายกฯ ถึงแม้ผู้ก่อการฯ จะยังไม่ยอมรับว่า ตนกระทำผิดไป แต่ระยะเวลาที่ประเทศชาติต้องรับภาระกรรมยาวนานกว่าถึง 3 เท่า ประชาชนย่อมรู้สึกได้ถึงข้อดีข้อเสีย และผลงานที่ได้ออกมากลับทำท่าจะมีคุณภาพไม่แตกต่างจากครั้งก่อนคือ "รับๆไปก่อน เดี๋ยวค่อยมาแก้ทีหลัง"
การยอมรับบทเรียนแห่งความผิดพลาด ของผู้นำทางทหารของไทย จะต้องเกิดขึ้นอีกกี่ครั้ง เราถึงจะได้มีประชาธิปไตยเต็มใบ แบบประเทศอื่นๆเขาสักที
คำพังเพยโบราณที่ว่า "สุกเอา เผากิน" ถ้าเอามาเปรียบเทียบให้อินเทรนด์ กับทศวรรษปัจจุบันน่าจะตรงกับคำว่า "รับๆ กันไปก่อน เดี๋ยวค่อยมาแก้ทีหลัง" ครับ
และคำๆ นี้ก็ตรงกับ มาตรฐานคุณภาพของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยถึง 2 ฉบับ ที่ถูกร่างขึ้นในช่วง ทศวรรษแห่งการรัฐประหาร 10 ปีให้หลังมานี้
การรัฐประหารถึง 2 ครั้งในช่วง 10 ปี ที่ประชาธิปไตยกำลังเบ่งบานในสากลโลก ส่งผลให้ประเทศไทย ได้เป็นที่ 1 ของอาเซียนสมความมุ่งหมาย แต่ไม่ใช่ทางด้านความเจริญทางเศรษฐกิจ หรือคุณภาพชีวิต แต่กลับเป็นทางด้านความห่างไกลประชาธิปไตยมากที่สุด ทิ้งห่างพม่าแชมป์เก่า ซึ่งปัจจุบันได้เข้าสู่ประชาธิปไตยเต็มใบ ไปหลายช่วงตัว
ฉบับแรกคือรัฐธรรมนูญฉบับปี 50 อันเป็นผลพวงของการรัฐประหารปี 49 ที่อดีต ผบ.ทบ.ท่านก่อนหน้านู้น เป็นผู้กระทำการรัฐประหาร ท่านใช้เวลา 1 ปี กว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งคืนอำนาจให้ประชาชน โดยใช้รัฐธรรมนูญภายใต้สโลแกน "รับๆ ไปก่อน เดี๋ยวค่อยมาแก้ทีหลัง" มาแล้วครั้งหนึ่ง
รัฐธรรมนูญที่เราจะได้มา ในอนาคตอันใกล้นี้ เป็นผลพวงของการรัฐประหารครั้งล่าสุด ผลงานของอดีตผบ.ทบ.อีกท่านหนึ่ง ที่ตอนนี้อัพเกรดตัวเอง ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเมื่อเปิดโรดแม๊ปดูแล้ว ที่สัญญาไว้ว่าจะคืนความสุขให้คนไทย โดยขอเวลาอีกไม่นานนั้น ท่านขอใช้เวลาร่วม 3 ปี จึงจะอนุญาตให้มีการเลือกตั้งได้
ผบ.ทบ.คนเก่า รัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน แล้วให้คนเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นมาใช้ อีก 8 ปีถัดมา ผบ.ทบ.อีกคนหนึ่งรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญที่คนเก่าร่างเอาไว้ แล้วให้คนเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่อีก ซึ่งก็มีการใช้สโลแกนแบบเดิมๆ อีกครั้งว่า "รับๆ ไปก่อน เดี๋ยวค่อยมาแก้ทีหลัง"
ครั้งก่อน รัฐประหารขณะที่คุณพ่อผมเป็นนายกฯ จนกระทั่งเมื่อผู้ก่อการฯ พ้นจากตำแหน่งไป จึงค่อยออกมายอมรับว่า เป็นบทเรียนแห่งความผิดพลาด และถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะไม่กระทำการฯ เช่นนั้น ให้ประเทศชาติต้องเสียหายอีก
ครั้งปัจจุบัน รัฐประหารขณะที่อาปูเป็นนายกฯ ถึงแม้ผู้ก่อการฯ จะยังไม่ยอมรับว่า ตนกระทำผิดไป แต่ระยะเวลาที่ประเทศชาติต้องรับภาระกรรมยาวนานกว่าถึง 3 เท่า ประชาชนย่อมรู้สึกได้ถึงข้อดีข้อเสีย และผลงานที่ได้ออกมากลับทำท่าจะมีคุณภาพไม่แตกต่างจากครั้งก่อนคือ "รับๆไปก่อน เดี๋ยวค่อยมาแก้ทีหลัง"
การยอมรับบทเรียนแห่งความผิดพลาด ของผู้นำทางทหารของไทย จะต้องเกิดขึ้นอีกกี่ครั้ง เราถึงจะได้มีประชาธิปไตยเต็มใบ แบบประเทศอื่นๆเขาสักที