ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (10 พ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่ดีดตัวขึ้นกว่า 2% และจากการพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งของหุ้นอเมซอน นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากรายงานที่ว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งของสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นในเดือนมี.ค. และการแสดงมุมมองเศรษฐกิจในด้านบวกของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,928.35 จุด พุ่งขึ้น 222.44 จุด หรือ +1.26% ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 4,809.88 จุด เพิ่มขึ้น 59.67 จุด หรือ +1.26% ดัชนีเอสแอนด์พี500 ปิดที่ 2,084.39 จุด เพิ่มขึ้น 25.70 จุด หรือ +1.25%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นตั้งแต่ตลาดเปิดทำการ หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดีดตัวขึ้น 2.8% อันเนื่องมาจากข่าวที่ว่า ไฟป่าในแคนาดาส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมันโดยรวม 1.6 ล้านบาร์เรล/วัน ขณะเดียวกันเหตุการณ์โจมตีแหล่งผลิตน้ำมันในไนจีเรียยังส่งผลให้การผลิตน้ำมันแตะระดับต่ำสุดในรอบ 22 ปี
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนมากขึ้นหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งประจำเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 0.1% ส่วนยอดขายภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 0.7% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2015
นอกจากนี้ การแสดงมุมมองในด้านของเฟดสาขาแอตแลนตายังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่หนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กด้วย โดยรายงานของเฟดแอตแลนตาระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัว 2.2% ในไตรมาส 2 หลังมีการเปิดเผยข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของการใช้จ่ายของผู้บริโภค โดยการขยายตัวที่ระดับ 2.2% นั้น อยู่ในระดับสูงกว่าการคาดการณ์ที่ระดับ 1.7% ในวันที่ 4 พ.ค.
นอกเหนือจากการฟื้นตัวของราคาน้ำมันและข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสแล้ว ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงหนุนจากหุ้นอเมซอนที่พุ่งขึ้น 3.43% ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 703.07 ดอลลาร์ หลังจากที่นักวิเคราะห์ของแบร์สเติร์นได้ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาหุ้นอเมซอนขึ้นสู่ระดับ 1,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในวอลล์สตรีท จากเดิมที่ประมาณการไว้ที่ 770 ดอลลาร์ เนื่องจากผลกำไรของอเมซอนมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอีก 2 ปีข้างหน้า
หุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเหมืองแร่ดีดตัวขึ้นตามราคาน้ำมัน โดยหุ้นชลัมเบอร์เกอร์ พุ่งขึ้น 2.1% หุ้นเฮสส์ คอร์ป ทะยานขึ้น 4.9% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ปรับขึ้น 4.95% ส่วนหุ้นดาว เคมิคอล เพิ่มขึ้น 1.4% และหุ้นฟรีพอร์ท-แมคมอแรนพุ่งขึ้น 3.2%
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 2.5% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ปรับขึ้น 1.3% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ดีดตัวขึ้น 1.35% และหุ้นเครดิตสวิสพุ่งขึ้น 4.23%
ส่วนหุ้นบริษัทขนาดใหญ่อย่างแคเทอร์พิลลาร์ พุ่งขึ้น 2.4% และหุ้นโบอิ้งปรับตัวขึ้น 2%
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยในวันพฤหัสบดี ทางการสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และราคานำเข้าและส่งออกเดือนเม.ย. ส่วนวันศุกร์จะมีการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนเม.ย., ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนเม.ย., ยอดค้าปลีกเดือนเม.ย., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนมี.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,928.35 จุด พุ่งขึ้น 222.44 จุด หรือ +1.26% ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 4,809.88 จุด เพิ่มขึ้น 59.67 จุด หรือ +1.26% ดัชนีเอสแอนด์พี500 ปิดที่ 2,084.39 จุด เพิ่มขึ้น 25.70 จุด หรือ +1.25%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นตั้งแต่ตลาดเปิดทำการ หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดีดตัวขึ้น 2.8% อันเนื่องมาจากข่าวที่ว่า ไฟป่าในแคนาดาส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมันโดยรวม 1.6 ล้านบาร์เรล/วัน ขณะเดียวกันเหตุการณ์โจมตีแหล่งผลิตน้ำมันในไนจีเรียยังส่งผลให้การผลิตน้ำมันแตะระดับต่ำสุดในรอบ 22 ปี
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนมากขึ้นหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งประจำเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 0.1% ส่วนยอดขายภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 0.7% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2015
นอกจากนี้ การแสดงมุมมองในด้านของเฟดสาขาแอตแลนตายังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่หนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กด้วย โดยรายงานของเฟดแอตแลนตาระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัว 2.2% ในไตรมาส 2 หลังมีการเปิดเผยข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของการใช้จ่ายของผู้บริโภค โดยการขยายตัวที่ระดับ 2.2% นั้น อยู่ในระดับสูงกว่าการคาดการณ์ที่ระดับ 1.7% ในวันที่ 4 พ.ค.
นอกเหนือจากการฟื้นตัวของราคาน้ำมันและข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสแล้ว ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงหนุนจากหุ้นอเมซอนที่พุ่งขึ้น 3.43% ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 703.07 ดอลลาร์ หลังจากที่นักวิเคราะห์ของแบร์สเติร์นได้ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาหุ้นอเมซอนขึ้นสู่ระดับ 1,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในวอลล์สตรีท จากเดิมที่ประมาณการไว้ที่ 770 ดอลลาร์ เนื่องจากผลกำไรของอเมซอนมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอีก 2 ปีข้างหน้า
หุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเหมืองแร่ดีดตัวขึ้นตามราคาน้ำมัน โดยหุ้นชลัมเบอร์เกอร์ พุ่งขึ้น 2.1% หุ้นเฮสส์ คอร์ป ทะยานขึ้น 4.9% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ปรับขึ้น 4.95% ส่วนหุ้นดาว เคมิคอล เพิ่มขึ้น 1.4% และหุ้นฟรีพอร์ท-แมคมอแรนพุ่งขึ้น 3.2%
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 2.5% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ปรับขึ้น 1.3% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ดีดตัวขึ้น 1.35% และหุ้นเครดิตสวิสพุ่งขึ้น 4.23%
ส่วนหุ้นบริษัทขนาดใหญ่อย่างแคเทอร์พิลลาร์ พุ่งขึ้น 2.4% และหุ้นโบอิ้งปรับตัวขึ้น 2%
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยในวันพฤหัสบดี ทางการสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และราคานำเข้าและส่งออกเดือนเม.ย. ส่วนวันศุกร์จะมีการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนเม.ย., ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนเม.ย., ยอดค้าปลีกเดือนเม.ย., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนมี.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน