ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (17 มี.ค.) เพราะได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ดีดตัวขึ้นมากกว่า 4% ซึ่งช่วยหนุนกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์และกลุ่มอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้นด้วย นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากรายงานที่ว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,481.49 จุด พุ่งขึ้น 155.73 จุด หรือ +0.90% ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 4,774.98 จุด เพิ่มขึ้น 11.02 จุด หรือ +0.23% ดัชนีเอสแอนด์พี500 ปิดที่ 2,040.59 จุด เพิ่มขึ้น 13.37 จุด หรือ +0.66%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบ WTI ตลาดนิวยอร์กที่พุ่งขึ้น 4.5% เมื่อคืนนี้ ขานรับการคาดการณ์ที่ว่า กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันจะจัดการประชุมในเดือนหน้าเพื่อจำกัดการผลิตน้ำมัน ซึ่งจะส่งผลให้ราคาฟื้นตัวขึ้น
การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันช่วยหนุนหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์และกลุ่มอุตสาหกรรมดีดตัวขึ้น โดยหุ้นเจนเนอรัล อิเล็กทริก ปรับขึ้น 2.6% หุ้นเอ็มเมอร์สัน อิเล็กทริก ทะยานขึ้น 6.4% หุ้นฟรีพอร์ท-แมคมอแรน พุ่งขึ้นกว่า 6.6%
หุ้นแคทเทอร์พิลลาร์ ปรับขึ้น 2.1% แม้ว่าบริษัทได้ปรับลดแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสแรก ขณะที่หุ้นเฟดเอ็กซ์ ทะยานขึ้นเกือบ 12% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการในปีนี้ และหุ้นโบอิ้ง โค พุ่งขึ้น 2.5% แตะระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากข้อมูลแรงงานที่สดใสของสหรัฐ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 7,000 ราย สู่ระดับ 265,000 รายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 12 มี.ค. แต่ตัวเลขดังกล่าวยังน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดากรณ์ไว้ที่ 268,000 ราย
ทั้งนี้ จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกยังคงอยู่ต่ำกว่า 300,000 ราย เป็นสัปดาห์ที่ 54 ติดต่อกัน ซึ่งยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 1973
ภาวะการซื้อขายในตลาดยังคงได้รับแรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ในช่วง 0.25-0.50% ในการประชุมเมื่อวันพุธ พร้อมกับคาดการณ์ว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% เพียง 2 ครั้งในปีนี้ ลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 4 ครั้ง โดยระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจและการเงินทั่วโลกยังคงมีความเสี่ยง
นักลงทุนจับดูดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนมี.ค.ของสหรัฐซึ่งรายงานโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน ในเวลา 21.00 น.ตามเวลาไทยในวันนี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,481.49 จุด พุ่งขึ้น 155.73 จุด หรือ +0.90% ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 4,774.98 จุด เพิ่มขึ้น 11.02 จุด หรือ +0.23% ดัชนีเอสแอนด์พี500 ปิดที่ 2,040.59 จุด เพิ่มขึ้น 13.37 จุด หรือ +0.66%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบ WTI ตลาดนิวยอร์กที่พุ่งขึ้น 4.5% เมื่อคืนนี้ ขานรับการคาดการณ์ที่ว่า กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันจะจัดการประชุมในเดือนหน้าเพื่อจำกัดการผลิตน้ำมัน ซึ่งจะส่งผลให้ราคาฟื้นตัวขึ้น
การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันช่วยหนุนหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์และกลุ่มอุตสาหกรรมดีดตัวขึ้น โดยหุ้นเจนเนอรัล อิเล็กทริก ปรับขึ้น 2.6% หุ้นเอ็มเมอร์สัน อิเล็กทริก ทะยานขึ้น 6.4% หุ้นฟรีพอร์ท-แมคมอแรน พุ่งขึ้นกว่า 6.6%
หุ้นแคทเทอร์พิลลาร์ ปรับขึ้น 2.1% แม้ว่าบริษัทได้ปรับลดแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสแรก ขณะที่หุ้นเฟดเอ็กซ์ ทะยานขึ้นเกือบ 12% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการในปีนี้ และหุ้นโบอิ้ง โค พุ่งขึ้น 2.5% แตะระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากข้อมูลแรงงานที่สดใสของสหรัฐ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 7,000 ราย สู่ระดับ 265,000 รายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 12 มี.ค. แต่ตัวเลขดังกล่าวยังน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดากรณ์ไว้ที่ 268,000 ราย
ทั้งนี้ จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกยังคงอยู่ต่ำกว่า 300,000 ราย เป็นสัปดาห์ที่ 54 ติดต่อกัน ซึ่งยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 1973
ภาวะการซื้อขายในตลาดยังคงได้รับแรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ในช่วง 0.25-0.50% ในการประชุมเมื่อวันพุธ พร้อมกับคาดการณ์ว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% เพียง 2 ครั้งในปีนี้ ลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 4 ครั้ง โดยระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจและการเงินทั่วโลกยังคงมีความเสี่ยง
นักลงทุนจับดูดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนมี.ค.ของสหรัฐซึ่งรายงานโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน ในเวลา 21.00 น.ตามเวลาไทยในวันนี้