จากเหตุเพลิงไหม้บ้านเลขที่ 32 ซึ่งเป็นอาคาร 10 ชั้น ในซอยนราธิวาสราชนครินทร์ 18 บ้านพักของนายวิกรม อัยศิริ นักธุรกิจ และอดีตสมาชิกวุฒิสภา จังหวัดระนอง เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา วันนี้ (7 ก.พ.) วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) นำโดยนายภัทรรุตม์ ทรรทรานนท์ รองปลัดกรุงเทพมหานคร นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายก วสท. และนายวสวัตติ์ กฤษศิริธีรภาคย์ นายกสมาคมผู้ตรวจสอบและบริหารความปลอดภัยอาคาร และสภาวิศวกร ร่วมลงพื้นที่สำรวจและวิเคราะห์สภาพอาคารไฟไหม้ และข้อมูลมาตรฐานความปลอดภัยด้านอัคคีภัยสำหรับอาคารสูงบริเวณอาคารเกิดเหตุ
นายภัทรรุตม์ กล่าวว่า โดยรวมโครงสร้างอาคารยังมั่นคงแข็งแรงสามารถใช้งานได้ แต่บางจุดอาจต้องปรับปรุงซ่อมแซม สำหรับอาคารแห่งนี้เป็นอาคารเก่า ก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2534 จึงต้องตรวจสอบการขออนุญาตก่อสร้างอีกครั้ง ว่าดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และอยากให้เจ้าของอาคาร โดยเฉพาะอาคารเก่า นำเหตุครั้งนี้มาเป็นบทเรียน หมั่นตรวจสอบ และดูแลรักษาอาคารให้มั่นคงแข็งแรง ซึ่งกรุงเทพมหานคร ได้สุ่มตรวจอาคารเก่าเป็นประจำทุกเดือน จึงขอให้เจ้าของอาคารปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
ด้านนายกสมาคมผู้ตรวจสอบและบริหารความปลอดภัยอาคาร กล่าวว่าจากการตรวจสอบตัวอาคาร เบื้องต้นพบว่า จุดกำเนิดไฟอยู่บริเวณชั้นที่ 3 และลุกลามอย่างรวดเร็วผ่านทางบันไดสู่ชั้น 4 - 7 ซึ่งพบมีเพลิงไหม้ ทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงอย่างมาก บริเวณอาคารชั้นที่ 7 โดยมีคานเพดานร้าวจนไม่สามารถรองรับน้ำหนักจากอาคารชั้นที่ 8 ได้เช่นเดิม ทำให้ตัวอาคารชั้นที่ 8 มีพื้นที่เสียหายอย่างหนัก ไม่ควรขึ้นไปใช้งานโดยเด็ดขาด ทั้งนี้ จากการตรวจสอบ วสท.ได้แบ่งความเสียหายเป็น 3 ระดับ คือ เสียหายในระดับปกติ ที่ชั้น 1 และ 2 ความเสียหายระดับที่ 2 บริเวณชั้นที่ 3 ต้องมีการทดสอบความปลอดภัย ส่วนระดับรุนแรง คือบริเวณชั้น 4 - 7 ต้องตรวจสอบเป็นพิเศษ โดยตั้งแต่ชั้น 7 ไม่สามารถใช้การได้ อาจต้องทุบเพื่อก่อสร้างใหม่ อย่างไรก็ตาม วสท.ร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง จะตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง สำหรับอุปกรณ์ดูแลความปลอดภัยในอาคาร เนื่องจากเป็นอาคารเก่ากว่า 30 ปี จึงไม่พบว่ามีระบบดับเพลิง สปริงเกอร์ บันไดหนีไฟ และถังดับเพลิงไม่อยู่ในจุดที่พร้อมใช้งาน
นายภัทรรุตม์ กล่าวว่า โดยรวมโครงสร้างอาคารยังมั่นคงแข็งแรงสามารถใช้งานได้ แต่บางจุดอาจต้องปรับปรุงซ่อมแซม สำหรับอาคารแห่งนี้เป็นอาคารเก่า ก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2534 จึงต้องตรวจสอบการขออนุญาตก่อสร้างอีกครั้ง ว่าดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และอยากให้เจ้าของอาคาร โดยเฉพาะอาคารเก่า นำเหตุครั้งนี้มาเป็นบทเรียน หมั่นตรวจสอบ และดูแลรักษาอาคารให้มั่นคงแข็งแรง ซึ่งกรุงเทพมหานคร ได้สุ่มตรวจอาคารเก่าเป็นประจำทุกเดือน จึงขอให้เจ้าของอาคารปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
ด้านนายกสมาคมผู้ตรวจสอบและบริหารความปลอดภัยอาคาร กล่าวว่าจากการตรวจสอบตัวอาคาร เบื้องต้นพบว่า จุดกำเนิดไฟอยู่บริเวณชั้นที่ 3 และลุกลามอย่างรวดเร็วผ่านทางบันไดสู่ชั้น 4 - 7 ซึ่งพบมีเพลิงไหม้ ทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงอย่างมาก บริเวณอาคารชั้นที่ 7 โดยมีคานเพดานร้าวจนไม่สามารถรองรับน้ำหนักจากอาคารชั้นที่ 8 ได้เช่นเดิม ทำให้ตัวอาคารชั้นที่ 8 มีพื้นที่เสียหายอย่างหนัก ไม่ควรขึ้นไปใช้งานโดยเด็ดขาด ทั้งนี้ จากการตรวจสอบ วสท.ได้แบ่งความเสียหายเป็น 3 ระดับ คือ เสียหายในระดับปกติ ที่ชั้น 1 และ 2 ความเสียหายระดับที่ 2 บริเวณชั้นที่ 3 ต้องมีการทดสอบความปลอดภัย ส่วนระดับรุนแรง คือบริเวณชั้น 4 - 7 ต้องตรวจสอบเป็นพิเศษ โดยตั้งแต่ชั้น 7 ไม่สามารถใช้การได้ อาจต้องทุบเพื่อก่อสร้างใหม่ อย่างไรก็ตาม วสท.ร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง จะตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง สำหรับอุปกรณ์ดูแลความปลอดภัยในอาคาร เนื่องจากเป็นอาคารเก่ากว่า 30 ปี จึงไม่พบว่ามีระบบดับเพลิง สปริงเกอร์ บันไดหนีไฟ และถังดับเพลิงไม่อยู่ในจุดที่พร้อมใช้งาน