นายสุรชัย ดนัยตั้งตระกูล ประธานกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ภายในเดือน ก.พ.นี้กระทรวงการคลังจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาโครงการบ้านประชารัฐ ที่ดำเนินการโดย ธอส. ซึ่งขณะนี้ มีความชัดเจนในเรื่องหลักการ และวิธีการเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่เพียงการกำหนดรายได้ขั้นต่ำของผู้ที่มีรายได้น้อยกว่าควรจะอยู่ที่เท่าใด ซึ่งในฝั่งของกระทรวงการคลังตั้งต้นเอาไว้ที่ไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือนจะมีความเหมาะสมหรือไม่ หากกระทรวงการคลังยืนยันว่า ไม่เกิน 15,000 บาท ธอส.ก็พร้อมที่จะดำเนินการทันที
“โครงการนี้ ธอส.ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อ 30,000 ล้านบาท ระยะเวลาโครงการ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษ โดยไม่มุ่งหวังผลกำไรเนื่องจากเป็นนโยบายของรัฐบาล แต่ต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือทางด้านแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำจากธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ เช่น ธนาคารออมสินและธนาคารกรุงไทย เพื่อนำมาเฉลี่ยกับต้นทุนที่สูงกว่าของ ธอส. ซึ่งจะทำให้ผู้กู้ที่มีรายได้น้อยสามารถผ่อนชำระได้อย่างสบายๆ ตลอดระยะเวลาเงินกู้ 30 ปี”
สำหรับคุณสมบัติของผู้กู้ภายใต้โครงการนี้ ประกอบด้วย 1.รายได้ไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือนกรณีกู้ร่วมรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท 2.ต้องไม่เคยมีอสังหาริมทรัพย์ หรือมีบ้านเป็นของตนเองมาก่อน และ 3.ต้องลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการกับ ธอส.เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติ โดย ธอส.จะเปิดกว้างให้นำทรัพย์สินรอการขาย (เอ็นพีเอ) ของธนาคารเฉพาะกิจ โครงการอสังหาริมทรัพย์ของภาคเอกชนและบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (แซม) สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้ โดยวงเงินปล่อยกู้สำหรับคอนโดมิเนียม รายละไม่เกิน 700,000 บาท และบ้านแถวไม่เกิน 900,000 บาท โดยไม่ปล่อยกู้เพื่อปลูกสร้างบ้านบนที่ดินของตนเอง
นายสุรชัย กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยโครงการนี้ มี 2 รูปแบบคือ 1.กรณีซื้อขาดอสังหาริมทรัพย์ อัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษ ซึ่งในขณะนี้ ยังไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ชัดเจน แต่กำหนดกรอบเอาไว้ โดยในช่วง 3 ปีแรก ผ่อนชำระเดือนละ 3,000 บาท ปีที่ 3 ถึงปีที่ 6 ผ่อนเดือนละ 3,400 บาทและตั้งแต่ปีที่ 6 เป็นต้นไป ผ่อนชำระเดือนละ 4,100 บาทโดยมั่นใจว่า วงเงินที่ผ่อนชำระไม่เกิน 4,000 บาทต่อเดือน จะให้ผู้ที่มีรายได้น้อยสามารถผ่อนส่งได้อย่างสบาย
“หลักการของโครงการนี้ ธอส.ไม่ต้องการให้เงินงวดที่ผ่อนชำระในแต่ละช่วงเวลาก้าวกระโดดจนทำให้ผู้กู้รู้สึกตกใจ เช่น ผ่อน 3 ปีแรก 3,000 บาท พอขึ้นปีที่ 4 เพิ่มขึ้นเป็น 5,000 บาท ผู้กู้จะรู้สึกช็อกเงินงวดที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น การออกแบบในโครงการนี้ จึงต้องใช้อัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษ โดยในช่วง 3 ปีแรก เราคิดอัตราดอกเบี้ยเพียง 2% ต่อปี”
ส่วนกรณีเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ บนที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ และที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ ร.ฟ.ท. ระยะยาว 30 ปี ซึ่งไม่ได้นำค่าที่ดินมารวมกับค่าก่อสร้างที่อยู่อาศัย จะทำให้ราคาบ้านถูกลงเหลือประมาณ 500,000 บาท และยังทำให้เงินงวดผ่อนชำระก็ถูกลงด้วย โดยประเมินว่า เงินงวดผ่อนชำระลดลงเหลือเดือนละไม่เกิน 2,500 บาท ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับบ้านเช่า จึงมั่นใจว่า ลูกค้ากลุ่มนี้จะเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่จะเข้าร่วมโครงการบ้านประชารัฐ เพราะการเช่าบ้านสิทธิประโยชน์ไม่ได้ตกอยู่กับผู้เช่า แตกต่างจากบ้านโครงการประชารัฐ หากผู้เช่าผ่อนชำระหมดแล้ว สิทธิในตัวบ้านจะตกอยู่กับเจ้าของบ้านตลอดระยะเวลา 30 ปี
นายสุรชัย กล่าวว่า จากการหารือผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์พบว่า ปัจจุบันมีโครงการของเอกชนมากกว่า 7,000 ยูนิตที่สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้ทันที เช่น บริษัท พฤกษา บริษัท แอลพีเอ็น บริษัท นิรันดร์คอนโดฯ เป็นต้น ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นคอนโดมิเนียม ราคาไม่เกิน 700,000 บาท นอกจากนี้ ยังมีบ้านเอ็นพีเอของธนาคารเฉพาะกิจอยู่อีก 2,500 ยูนิต รวมแล้วเกือบ 10,000 ยูนิต ซึ่งยังไม่นับรวมบ้านประชารัฐของกรมธนารักษ์ที่ใช้ที่ราชพัสดุดำเนินโครงการนี้อีก 6 แปลง เช่น ฝั่งตรงข้ามซอยวัดไผ่ตัน บนนถนนพหลโยธิน ถนนช้างคลาน จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น โดย ธอส. พร้อมที่จะปล่อยกู้โครงการและปล่อยกู้ให้แก่ผู้ซื้อรายย่อย
นอกจากนี้ ธอส.ยังมีเงื่อนไขพิเศษให้แก่ผู้กู้ในโครงการบ้านประชารัฐ โดยจะไม่คิดค่าธรรมเนียมการโอน 2% กับผู้กู้ทุกราย ซึ่งปัจจุบันมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่รัฐบาลลดค่าธรรมเนียมการโอนลงเหลือ 0.1% จาก 2% ตั้งแต่เดือนต.ค.58 จนถึงเดือน เม.ย.59 นั้น หากพ้นระยะเวลาของมาตรการดังกล่าว ธอส.จะรับผิดชอบทั้งหมดคิดเป็นเงิน 270 ล้านบาท
ส่วนผลการดำเนินงานของ ธอส.ปี 2558 ปล่อยสินเชื่อใหม่ 157,447 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2557 จำนวน 14,750 ล้านบาท มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นแตะ 900,223 ล้านบาท มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) 47,049 ล้านบาท หรือ 5.45% และมีกำไร 8,700 ล้านบาท
“โครงการนี้ ธอส.ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อ 30,000 ล้านบาท ระยะเวลาโครงการ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษ โดยไม่มุ่งหวังผลกำไรเนื่องจากเป็นนโยบายของรัฐบาล แต่ต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือทางด้านแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำจากธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ เช่น ธนาคารออมสินและธนาคารกรุงไทย เพื่อนำมาเฉลี่ยกับต้นทุนที่สูงกว่าของ ธอส. ซึ่งจะทำให้ผู้กู้ที่มีรายได้น้อยสามารถผ่อนชำระได้อย่างสบายๆ ตลอดระยะเวลาเงินกู้ 30 ปี”
สำหรับคุณสมบัติของผู้กู้ภายใต้โครงการนี้ ประกอบด้วย 1.รายได้ไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือนกรณีกู้ร่วมรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท 2.ต้องไม่เคยมีอสังหาริมทรัพย์ หรือมีบ้านเป็นของตนเองมาก่อน และ 3.ต้องลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการกับ ธอส.เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติ โดย ธอส.จะเปิดกว้างให้นำทรัพย์สินรอการขาย (เอ็นพีเอ) ของธนาคารเฉพาะกิจ โครงการอสังหาริมทรัพย์ของภาคเอกชนและบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (แซม) สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้ โดยวงเงินปล่อยกู้สำหรับคอนโดมิเนียม รายละไม่เกิน 700,000 บาท และบ้านแถวไม่เกิน 900,000 บาท โดยไม่ปล่อยกู้เพื่อปลูกสร้างบ้านบนที่ดินของตนเอง
นายสุรชัย กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยโครงการนี้ มี 2 รูปแบบคือ 1.กรณีซื้อขาดอสังหาริมทรัพย์ อัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษ ซึ่งในขณะนี้ ยังไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ชัดเจน แต่กำหนดกรอบเอาไว้ โดยในช่วง 3 ปีแรก ผ่อนชำระเดือนละ 3,000 บาท ปีที่ 3 ถึงปีที่ 6 ผ่อนเดือนละ 3,400 บาทและตั้งแต่ปีที่ 6 เป็นต้นไป ผ่อนชำระเดือนละ 4,100 บาทโดยมั่นใจว่า วงเงินที่ผ่อนชำระไม่เกิน 4,000 บาทต่อเดือน จะให้ผู้ที่มีรายได้น้อยสามารถผ่อนส่งได้อย่างสบาย
“หลักการของโครงการนี้ ธอส.ไม่ต้องการให้เงินงวดที่ผ่อนชำระในแต่ละช่วงเวลาก้าวกระโดดจนทำให้ผู้กู้รู้สึกตกใจ เช่น ผ่อน 3 ปีแรก 3,000 บาท พอขึ้นปีที่ 4 เพิ่มขึ้นเป็น 5,000 บาท ผู้กู้จะรู้สึกช็อกเงินงวดที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น การออกแบบในโครงการนี้ จึงต้องใช้อัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษ โดยในช่วง 3 ปีแรก เราคิดอัตราดอกเบี้ยเพียง 2% ต่อปี”
ส่วนกรณีเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ บนที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ และที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ ร.ฟ.ท. ระยะยาว 30 ปี ซึ่งไม่ได้นำค่าที่ดินมารวมกับค่าก่อสร้างที่อยู่อาศัย จะทำให้ราคาบ้านถูกลงเหลือประมาณ 500,000 บาท และยังทำให้เงินงวดผ่อนชำระก็ถูกลงด้วย โดยประเมินว่า เงินงวดผ่อนชำระลดลงเหลือเดือนละไม่เกิน 2,500 บาท ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับบ้านเช่า จึงมั่นใจว่า ลูกค้ากลุ่มนี้จะเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่จะเข้าร่วมโครงการบ้านประชารัฐ เพราะการเช่าบ้านสิทธิประโยชน์ไม่ได้ตกอยู่กับผู้เช่า แตกต่างจากบ้านโครงการประชารัฐ หากผู้เช่าผ่อนชำระหมดแล้ว สิทธิในตัวบ้านจะตกอยู่กับเจ้าของบ้านตลอดระยะเวลา 30 ปี
นายสุรชัย กล่าวว่า จากการหารือผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์พบว่า ปัจจุบันมีโครงการของเอกชนมากกว่า 7,000 ยูนิตที่สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้ทันที เช่น บริษัท พฤกษา บริษัท แอลพีเอ็น บริษัท นิรันดร์คอนโดฯ เป็นต้น ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นคอนโดมิเนียม ราคาไม่เกิน 700,000 บาท นอกจากนี้ ยังมีบ้านเอ็นพีเอของธนาคารเฉพาะกิจอยู่อีก 2,500 ยูนิต รวมแล้วเกือบ 10,000 ยูนิต ซึ่งยังไม่นับรวมบ้านประชารัฐของกรมธนารักษ์ที่ใช้ที่ราชพัสดุดำเนินโครงการนี้อีก 6 แปลง เช่น ฝั่งตรงข้ามซอยวัดไผ่ตัน บนนถนนพหลโยธิน ถนนช้างคลาน จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น โดย ธอส. พร้อมที่จะปล่อยกู้โครงการและปล่อยกู้ให้แก่ผู้ซื้อรายย่อย
นอกจากนี้ ธอส.ยังมีเงื่อนไขพิเศษให้แก่ผู้กู้ในโครงการบ้านประชารัฐ โดยจะไม่คิดค่าธรรมเนียมการโอน 2% กับผู้กู้ทุกราย ซึ่งปัจจุบันมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่รัฐบาลลดค่าธรรมเนียมการโอนลงเหลือ 0.1% จาก 2% ตั้งแต่เดือนต.ค.58 จนถึงเดือน เม.ย.59 นั้น หากพ้นระยะเวลาของมาตรการดังกล่าว ธอส.จะรับผิดชอบทั้งหมดคิดเป็นเงิน 270 ล้านบาท
ส่วนผลการดำเนินงานของ ธอส.ปี 2558 ปล่อยสินเชื่อใหม่ 157,447 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2557 จำนวน 14,750 ล้านบาท มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นแตะ 900,223 ล้านบาท มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) 47,049 ล้านบาท หรือ 5.45% และมีกำไร 8,700 ล้านบาท