ธอส.เตรียมทำโครงการบ้านประชารัฐ เล็งเสนอ ครม.พิจารณาภายในเดือน ก.พ.นี้ หลังจากนั้น 2 สัปดาห์ จะทำการเปิดรับลงทะเบียนประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการ โดยจะเริ่มที่สำนักงานใหญ่ก่อน คาดมีผู้สนใจเป็นหมื่นราย แย้มต้องเป็นผู้มีรายได้ไม่เกินเดือนละ 1.5-2.0 หมื่นบาท ส่วนราคาบ้านจะอยู่ที่ 7-9 แสนบาท
นายสุรชัย ดนัยตั้งตระกูล ประธานธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธนาคารเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้พิจารณาอนุมัติโครงการบ้านประชารัฐภายในเดือน ก.พ.นี้ หลังจากนั้น 2 สัปดาห์จะทำการเปิดรับลงทะเบียนประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการ โดยจะเริ่มที่สำนักงานใหญ่ก่อน คาดว่าจะมีประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมลงทะเบียนในช่วงแรกอย่างน้อยหลักหมื่นราย
“เบื้องต้นจะมีสินทรัพย์รอการขาย (NPA) จากธนาคารของรัฐที่เข้าร่วมโครงการ อาทิ กรุงไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (IBank) กรมธนารักษ์ บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บบส.) บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (บสส.) รวมถึงการสร้างที่อยู่อาศัยบนที่ดินราชพัสดุ กรมธนารักษ์ ไปจนพื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) บางส่วน ตรงนี้มีประมาณ 2.5 พันยูนิต รวมทั้งยังมี NPA จากภาคเอกชนอีกราว 7-9 พันยูนิตที่จะเข้ามาร่วมในช่วงแรกด้วย โดยราคาเริ่มต้นห้องชุดจะอยู่ที่ประมาณ 7 แสนบาทต่อหน่วย และบ้านแถว 9 แสนบาทต่อหน่วย”
ด้านนายฉัตรชัย ศิริไล รองกรรมการผู้จัดการ ธอส. เปิดเผยว่า ธอส. อยู่ระหว่างหารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการ โดยเบื้องต้นกำหนดว่า ต้องเป็นผู้มีรายได้ที่ 1.5-2 หมื่นบาทต่อเดือน และต้องไม่เคยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ใดมาก่อน เพราะหากเคยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์มาก่อนก็ถือว่าไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของโครงการนี้ โดยธนาคารจะปล่อยกู้ให้ทั้งประชาชน และผู้ประกอบการ 100% ซึ่งโครงการมีวงเงินทั้งสิ้น 3 หมื่นล้านบาท ธนาคารจะรับผิดชอบในส่วนของค่าโอน และจดจำนอง คิดเป็นปีละ 270 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยเพื่อปล่อยกู้ในโครงการบ้านประชารัฐนั้นยังอยู่ระหว่างพิจารณา แต่จะเป็นอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ แบบคงที่ประมาณ 5-6 ปี เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระผู้มีรายได้น้อยในการผ่อนชำระ
นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ คาดว่า ตลาดสินเชื่อปล่อยใหม่ในปี 2559 จะขยายตัวได้อย่างน้อย 4-5% จากปี 2558 โดยคาดว่าจะมียอดสินเชื่อปล่อยใหม่ในระบบอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด 5.8-5.9 แสนล้านบาท ขณะที่สินเชื่อคงค้างในระบบในปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 3.1 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นเครื่องสะท้อนว่า ระบบสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ของไทยยังขยายตัวได้เป็นอย่างดี โดยคิดเป็น 20% ของ GDP
ทั้งนี้ ในปี 2559 ยังมีปัจจัยบวกสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างมาก โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐในส่วนต่างๆ การเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีม่วง การลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้านบาท จาก 25 ล้านบาท และการเร่งลงทุนด้านคมนาคมขนส่ง จะเป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ
สำหรับปี 2559 ธนาคารตั้งเป้าหมายปล่อยสินเชื่อ 1.6 แสนล้านบาท มีโครงการสำคัญ ได้แก่ การทำข้อตกลงกับกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปล่อยกู้เพื่อพัฒนาแฟลตดินแดงของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) วงเงิน 3.5 หมื่นล้านบาท ปล่อยกู้บ้านประชารัฐ 3 หมื่นล้านบาท ปล่อยสินเชื่อสวัสดิการในอัตราดอกเบี้ยพิเศษให้ข้าราชการทหาร ตำรวจ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นทั้งหมดอีกด้วย และเตรียมแผนระดมเงินฝากจากรายย่อยให้มากขึ้นตามข้อเสนอของที่ปรึกษาการเงิน