นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าหลังจากที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เปิดเผยร่างรัฐธรรมนูญร่างแรก ท่ามกลางการแสดงความเห็นคัดค้านจากนักการเมืองนั้น ขณะนี้ยังไกลเกินไปที่จะบอกว่ารับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เพราะยังอยู่ในขั้นตอนการปรับปรุงแก้ไขเนื้อหาสาระ จึงอยากให้ทุกภาคส่วนร่วมกันพิจารณาเนื้อหาให้เกิดประโยชน์กับส่วนรวมมากที่สุด โดยในประเด็นที่มองว่าเป็นส่วนที่ดี คือรัฐธรรมนูญฉบับนี้พยายามหาทางป้องกันการทุจริตคอรัปชั่นอย่างเต็มที่ ซึ่งการทุจริตถือเป็นปัญหาสำคัญของประชาธิปไตย โดยในรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีการบัญญัติเรื่องการเข้าสู่อำนาจรัฐ การใช้อำนาจรัฐ และการตรวจสอบการอำนาจรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นการใส่มาตรการกลั่นกรองป้องกันการทุจริตคอรัปชั่น รวมไปถึงเรื่องความพยายามที่จะป้องกันการใช้เสียงข้างมากลากไป และอีกหนึ่งจุดเด่นคือการบัญญัติให้มีกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลัง และในมาตรา 241 ที่กำหนดให้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ร่วมกันตรวจสอบการใช้อำนาจ
ส่วนในประเด็นที่เห็นว่าควรปรับปรุงแก้ไข คือเรื่องที่มาของนายกรัฐมนตรี ที่เปิดโอกาสให้มีการเสนอชื่อบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ซึ่งแนวคิดนี้เกิดขึ้นก่อนที่จะมีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อให้มีทางเลือกบุคคลเข้ามาแก้ไขปัญหาเมื่อประเทศเกิดวิกฤติ แต่ขณะนี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีนายกรัฐมนตรีคนนอกเพราะเมื่อรัฐธรรมนูญประกาศใช้แล้ว ประเทศก็ไม่ได้เกิดวิกฤต จึงเรียกร้องให้ กรธ. ชี้แจงถึงเหตุจำเป็น เพราะเห็นว่านายกรัฐมนตรีควรมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องบัตรเลือกตั้งใบเดียว ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหา คือ ทำให้โอกาสในการที่จะซื้อเสียงมีมากขึ้น และประชาชนไม่สามารถแสดงเจตจำนงในการเลือกตั้งที่ชัดเจนได้ เพราะบางคนอาจชอบนโยบายพรรคแต่ไม่ชอบ ส.ส.ในพื้นที่ ทั้งไม่เห็นด้วยกับการตัดตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร จากฝ่ายค้านออกไป และเรื่องการศึกษา ซึ่งระบุว่ารัฐต้องดำเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาภาคบังคับโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ซึ่งยังมีความเห็นเพิ่มเติมว่าควรขยายเวลาการศึกษาภาคบังคับจาก 9 ปี ออกไปเป็น 12 ปีหรือมากกว่านั้น โดยจะมีการส่งความเห็นไปยัง กรธ.ภายในสัปดาห์นี้
นอกจากนี้ ยังฝากไปถึงนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. ที่กล่าวว่า หากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ผ่าน รัฐธรรมนูญฉบับต่อไปจะโหดกว่านี้ โดยขอให้ระมัดระวังท่าที เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด ซึ่งการพูดในลักษณะข่มขู่ หรือชี้นำไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในการร่างรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
ส่วนในประเด็นที่เห็นว่าควรปรับปรุงแก้ไข คือเรื่องที่มาของนายกรัฐมนตรี ที่เปิดโอกาสให้มีการเสนอชื่อบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ซึ่งแนวคิดนี้เกิดขึ้นก่อนที่จะมีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อให้มีทางเลือกบุคคลเข้ามาแก้ไขปัญหาเมื่อประเทศเกิดวิกฤติ แต่ขณะนี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีนายกรัฐมนตรีคนนอกเพราะเมื่อรัฐธรรมนูญประกาศใช้แล้ว ประเทศก็ไม่ได้เกิดวิกฤต จึงเรียกร้องให้ กรธ. ชี้แจงถึงเหตุจำเป็น เพราะเห็นว่านายกรัฐมนตรีควรมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องบัตรเลือกตั้งใบเดียว ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหา คือ ทำให้โอกาสในการที่จะซื้อเสียงมีมากขึ้น และประชาชนไม่สามารถแสดงเจตจำนงในการเลือกตั้งที่ชัดเจนได้ เพราะบางคนอาจชอบนโยบายพรรคแต่ไม่ชอบ ส.ส.ในพื้นที่ ทั้งไม่เห็นด้วยกับการตัดตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร จากฝ่ายค้านออกไป และเรื่องการศึกษา ซึ่งระบุว่ารัฐต้องดำเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาภาคบังคับโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ซึ่งยังมีความเห็นเพิ่มเติมว่าควรขยายเวลาการศึกษาภาคบังคับจาก 9 ปี ออกไปเป็น 12 ปีหรือมากกว่านั้น โดยจะมีการส่งความเห็นไปยัง กรธ.ภายในสัปดาห์นี้
นอกจากนี้ ยังฝากไปถึงนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. ที่กล่าวว่า หากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ผ่าน รัฐธรรมนูญฉบับต่อไปจะโหดกว่านี้ โดยขอให้ระมัดระวังท่าที เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด ซึ่งการพูดในลักษณะข่มขู่ หรือชี้นำไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในการร่างรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด