นางเตือนใจ ดีเทศน์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ในฐานะประธานอนุกรรมการสิทธิชุมชนและฐานทรัพยากร เปิดเผยเมื่อวันที่ 29 มกราคม ถึงกรณีเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่บ้านราไวย์ จ.ภูเก็ต ว่า ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ อนุกรรมการสิทธิชุมชนฯจะลงพื้นที่ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงของเหตุดังกล่าว โดยเบื้องต้นจะมีการไปพูดคุยกับชาวบ้านเพื่อสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
นางเตือนใจ กล่าวด้วว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2553 ได้แต่งตั้งคณะกรรมการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล โดยเฉพาะชาวเลในแถบจังหวัดฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งตนเป็นหนึ่งในกรรมการชุดดังกล่าว โดยมีงานวิจัยระบุว่า ชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่หาดราไวย์ ได้ตั้งถิ่นที่อยู่อาศัยมาเป็นเวลายาวนานกว่า 200 ปี ปัจจุบันนี้ชุมชนราไวย์มีราวประมาณ 250 ครัวเรือน และวิถีชีวิตในพื้นที่ดังกล่าว นอกจากจะมีการทำประมงเพื่อดำรงชีพ พื้นที่นี้ยังใช้ทำพิธีกรรรมหรือเป็นพื้นที่ทางจิตวิญญาณ แต่ก็เป็นชุมชนที่อยู่กันอย่างแออัด ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง มติครม.ที่ให้ตั้งกรรมการชุดดังกล่าวก็เพื่อเป็นการฟื้นฟูวิถีชีวิต สร้างขวัญกำลังใจให้ชาวบ้าน จึงเป็นประเด็นหนึ่งที่ตนจะเข้าไปติดตามความก้าวหน้า
ส่วนเรื่องความรุนแรงระหว่างชาวบ้านและคนของบริษัทเอกชนซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินนั้น ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต จะเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มาชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อหาสาเหตุว่าทำไมจึงมีการใช้ความรุนแรง และทำไมเจ้าหน้าที่ทหารจึงปล่อยให้มีเหตุความรุนแรงเกิดขึ้นได้
นอกจากนี้ กสม. ก็จะตรวจสอบด้วยว่า การได้โฉนดที่ดินในพื้นที่ดังกล่าวของบริษัทเอกชน มีความเป็นมาอย่างไร เป็นไปอย่างถูกต้องหรือไม่ และหน่วยงานภาครัฐอย่างกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ทำไมจึงมีการห้ามไม่ให้ชาวบ้านทำมาหากินด้วยการทำประมงในพื้นที่นั้น
“ที่ผ่านมาชาวบ้านได้ถูกกดดันอย่างมาก ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีจำนวนหลายคน ทั้งที่นิสัยพื้นฐานของชาวเลค่อนข้างเป็นคนรักสงบและไม่ถือสิทธิครอบครอง กสม.ก็จะตรวจสอบด้วยว่าหากมีการซื้อที่ดินในบริเวณนั้น ได้มีมาตรการในเยียวยาช่วยเหลือชาวบ้านและมีการประนีประนอมกันหรือไม่ ต้องเข้าใจว่าในพื้นที่หาดราไวย์สามารถเข้าไปฟื้นฟูให้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมได้ หน้าที่ กสม.จึงต้องเข้าไปส่งเสริมเพื่อให้เกิดการคุ้มครองทางสิทธิมนุษยชน” นางเตือนใจ กล่าว
วันเดียวกัน ที่ศาลากลางจังหวัดสตูล มีการประชุมคณะกรรมการแก้ปัญหาความมั่นคงในที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกิน และพื้นที่ทางจิตวิญญาณของชุมชนชาวเล โดยมี พล.อ.สุรินทร์ พิกุลทอง อดีตประธานคณะกรรมการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) เป็นประธาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมครั้งนี้ ปรากฏว่า กลุ่มชาวเลจากเกาะหลีเป๊ะที่เดินทางมาร่วมประชุม ได้ร้องขอความเป็นธรรมจากกรณีถูกกลุ่มนายทุนและผู้มีอิทธิพลบนเกาะสั่งให้ย้ายออกจากพื้นที่ทำกิน โดย นางสลวย หาญทะเล กล่าวว่า ต้องการให้คณะกรรมการลงพื้นที่ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงเหมือนกับที่จังหวัดอื่นๆ ที่มีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ลงตรวจสอบอายุกระดูกผู้เสียชีวิตที่ฝังในพื้นที่ เพื่อคำนวนระยะเวลาการใช้พื้นที่ที่ถิ่นที่อยู่อาศัยของชาวเล เนื่องจากชาวเลบนเกาะหลีเป๊ะก็อาศัยทำกินอยู่ในพื้นที่มานาน แต่ท้ายที่สุดก็ถูกนายทุนนำเอกสารสิทธิ์มาอ้างแล้วขับไล่ชาวบ้านออกไป
นางเตือนใจ กล่าวด้วว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2553 ได้แต่งตั้งคณะกรรมการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล โดยเฉพาะชาวเลในแถบจังหวัดฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งตนเป็นหนึ่งในกรรมการชุดดังกล่าว โดยมีงานวิจัยระบุว่า ชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่หาดราไวย์ ได้ตั้งถิ่นที่อยู่อาศัยมาเป็นเวลายาวนานกว่า 200 ปี ปัจจุบันนี้ชุมชนราไวย์มีราวประมาณ 250 ครัวเรือน และวิถีชีวิตในพื้นที่ดังกล่าว นอกจากจะมีการทำประมงเพื่อดำรงชีพ พื้นที่นี้ยังใช้ทำพิธีกรรรมหรือเป็นพื้นที่ทางจิตวิญญาณ แต่ก็เป็นชุมชนที่อยู่กันอย่างแออัด ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง มติครม.ที่ให้ตั้งกรรมการชุดดังกล่าวก็เพื่อเป็นการฟื้นฟูวิถีชีวิต สร้างขวัญกำลังใจให้ชาวบ้าน จึงเป็นประเด็นหนึ่งที่ตนจะเข้าไปติดตามความก้าวหน้า
ส่วนเรื่องความรุนแรงระหว่างชาวบ้านและคนของบริษัทเอกชนซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินนั้น ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต จะเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มาชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อหาสาเหตุว่าทำไมจึงมีการใช้ความรุนแรง และทำไมเจ้าหน้าที่ทหารจึงปล่อยให้มีเหตุความรุนแรงเกิดขึ้นได้
นอกจากนี้ กสม. ก็จะตรวจสอบด้วยว่า การได้โฉนดที่ดินในพื้นที่ดังกล่าวของบริษัทเอกชน มีความเป็นมาอย่างไร เป็นไปอย่างถูกต้องหรือไม่ และหน่วยงานภาครัฐอย่างกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ทำไมจึงมีการห้ามไม่ให้ชาวบ้านทำมาหากินด้วยการทำประมงในพื้นที่นั้น
“ที่ผ่านมาชาวบ้านได้ถูกกดดันอย่างมาก ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีจำนวนหลายคน ทั้งที่นิสัยพื้นฐานของชาวเลค่อนข้างเป็นคนรักสงบและไม่ถือสิทธิครอบครอง กสม.ก็จะตรวจสอบด้วยว่าหากมีการซื้อที่ดินในบริเวณนั้น ได้มีมาตรการในเยียวยาช่วยเหลือชาวบ้านและมีการประนีประนอมกันหรือไม่ ต้องเข้าใจว่าในพื้นที่หาดราไวย์สามารถเข้าไปฟื้นฟูให้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมได้ หน้าที่ กสม.จึงต้องเข้าไปส่งเสริมเพื่อให้เกิดการคุ้มครองทางสิทธิมนุษยชน” นางเตือนใจ กล่าว
วันเดียวกัน ที่ศาลากลางจังหวัดสตูล มีการประชุมคณะกรรมการแก้ปัญหาความมั่นคงในที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกิน และพื้นที่ทางจิตวิญญาณของชุมชนชาวเล โดยมี พล.อ.สุรินทร์ พิกุลทอง อดีตประธานคณะกรรมการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) เป็นประธาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมครั้งนี้ ปรากฏว่า กลุ่มชาวเลจากเกาะหลีเป๊ะที่เดินทางมาร่วมประชุม ได้ร้องขอความเป็นธรรมจากกรณีถูกกลุ่มนายทุนและผู้มีอิทธิพลบนเกาะสั่งให้ย้ายออกจากพื้นที่ทำกิน โดย นางสลวย หาญทะเล กล่าวว่า ต้องการให้คณะกรรมการลงพื้นที่ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงเหมือนกับที่จังหวัดอื่นๆ ที่มีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ลงตรวจสอบอายุกระดูกผู้เสียชีวิตที่ฝังในพื้นที่ เพื่อคำนวนระยะเวลาการใช้พื้นที่ที่ถิ่นที่อยู่อาศัยของชาวเล เนื่องจากชาวเลบนเกาะหลีเป๊ะก็อาศัยทำกินอยู่ในพื้นที่มานาน แต่ท้ายที่สุดก็ถูกนายทุนนำเอกสารสิทธิ์มาอ้างแล้วขับไล่ชาวบ้านออกไป