พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีเสียงสะท้อนของผู้ปกครองถึงนโยบายการปรับลดระยะเวลาเรียน ของกระทรวงศึกษาธิการว่า เสียงสะท้อนมี 2 อย่าง ทั้งดีและไม่ดี ก็ไปสรุปความเสียหายและไปปรับแก้มา
ทั้งนี้ เรื่องแนวคิดการปรับลดเวลาเรียนนั้นคิดจากชั่วโมงเรียนที่เหลือวันละ 2 ชั่วโมง ซึ่งแต่เดิมเวลาที่เหลือเขาให้ครูไปจัดการเรียนการสอนทำอะไรหลายๆ อย่าง ก็ดึงเวลานั้นกลับมา แล้วให้มาเพิ่มการเรียนรู้ตรงนี้ ซึ่งการเรียนรู้มีหลายโปรแกรม มีหลายวิชา โดยเขตจะเป็นคนเลือก ซึ่งไม่เหมือนกันทั้งประเทศ แต่เป็นการมุ่งเน้นการเรียนรู้ ซึ่งเป็นการเรียนรู้เพื่อพัฒนาภูมิปัญญาของเขาไปสู่การปฏิบัติ เราทำงานให้เป็นคิดให้เป็นกระบวนการ คิดอย่างที่ตนคิด ตนก็ไม่เคยเรียนมาตนเรียนรู้เอง และสื่อเรียนรู้หรือยัง ซึ่งวันนี้นโยบายของรัฐบาล คือ การพัฒนาเรื่องการศึกษาทั้งในระบบ นอกระบบ การศึกษาเองที่บ้าน และการศึกษานอกโรงเรียนต้องปรับปรุง เพื่อให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งการที่นักเรียนจะมีประสิทธิภาพอยู่ที่ความลงตัวระหว่างครู นักเรียน ผู้ปกครอง ท่านต้องไปดูว่าเราขาดตรงไหน เติมตรงไหน มันสั่งไม่ได้หรอก ท่านจะมาบอกว่าการพัฒนาการศึกษาไม่มีอะไร เด็กไม่พอใจ การศึกษาไม่ได้ประเมินกันแบบนี้ ไม่ได้ประเมินที่ผลสัมฤทธิ์ของประเทศ หรือการพัฒนาของมนุษย์ มันไม่ใช่ แต่ต้องไปดูตั้งแต่คนเริ่มเรียน คนกำลังใกล้จะจบ คนที่เป็นอนาคตจะเรียนรู้ตรงไหนก็ว่ากันมา
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า เรื่องการผลิตคนให้ตรงความต้องการของประเทศ เราต้องเอาเรื่องนี้ไปคิด ให้เป็นวิชาออกมา เหมือนตอนที่ตนเด็กๆ เรียนแกะสลัก เรียนอ๊อกเหล็ก ก็เรียนทั้งหมด เพราะจะได้รู้ว่าชอบอะไร ไม่อย่างนั้นคนก็ไปเรียน คุรุศาสตร์ บริหารจัดการ พอจบแล้วมาหางานทำได้ไหม เราต้องเพิ่มรายได้ของประชาชน ไม่ใช่ทุกคนคิดอะไรไม่ออกไปเป็นครู สื่อเคยคิดจะเป็นครูกันไหม คงไม่ได้ เพราะสอนลูกกันยังไม่ได้เลย เพราะลูกเป็นประชาธิปไตย แต่เราต้องสอนให้อยู่ในกรอบ ทุกคนในโลกต้องมีกรอบ ก่อนที่จะพัฒนาไปถึงตรงโน้น แล้วมาอ้างเรื่องประชาธิปไตย เพราะเขารบกันมาก่อนหรือเปล่า เขารบกันมาด้วยเรื่องอะไร แล้วใช้เวลาแก้ปัญหากี่สิบปี กี่ร้อยปี แล้ววันนี้เขาถึงเป็นอย่างนี้ ส่วนเรายังไปไม่ถึงไหนเลย จะเอาแบบนั้น มันทำได้ไหมเล่า ช่วงการเปลี่ยนผ่านของเราต้องมีระยะ 1 - 2 - 3 ถ้าเราไม่เตรียมการวันนี้ วันหน้าจะคิดกันแบบนี้ได้หรือ ไม่อย่างนั้นก็รบกันแบบนี้ ทะเลาะกันแบบนี้ไปไม่ได้หรอก ไม่มีประโยชน์ที่เราจะมาช่วยกัน
ทั้งนี้ เรื่องแนวคิดการปรับลดเวลาเรียนนั้นคิดจากชั่วโมงเรียนที่เหลือวันละ 2 ชั่วโมง ซึ่งแต่เดิมเวลาที่เหลือเขาให้ครูไปจัดการเรียนการสอนทำอะไรหลายๆ อย่าง ก็ดึงเวลานั้นกลับมา แล้วให้มาเพิ่มการเรียนรู้ตรงนี้ ซึ่งการเรียนรู้มีหลายโปรแกรม มีหลายวิชา โดยเขตจะเป็นคนเลือก ซึ่งไม่เหมือนกันทั้งประเทศ แต่เป็นการมุ่งเน้นการเรียนรู้ ซึ่งเป็นการเรียนรู้เพื่อพัฒนาภูมิปัญญาของเขาไปสู่การปฏิบัติ เราทำงานให้เป็นคิดให้เป็นกระบวนการ คิดอย่างที่ตนคิด ตนก็ไม่เคยเรียนมาตนเรียนรู้เอง และสื่อเรียนรู้หรือยัง ซึ่งวันนี้นโยบายของรัฐบาล คือ การพัฒนาเรื่องการศึกษาทั้งในระบบ นอกระบบ การศึกษาเองที่บ้าน และการศึกษานอกโรงเรียนต้องปรับปรุง เพื่อให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งการที่นักเรียนจะมีประสิทธิภาพอยู่ที่ความลงตัวระหว่างครู นักเรียน ผู้ปกครอง ท่านต้องไปดูว่าเราขาดตรงไหน เติมตรงไหน มันสั่งไม่ได้หรอก ท่านจะมาบอกว่าการพัฒนาการศึกษาไม่มีอะไร เด็กไม่พอใจ การศึกษาไม่ได้ประเมินกันแบบนี้ ไม่ได้ประเมินที่ผลสัมฤทธิ์ของประเทศ หรือการพัฒนาของมนุษย์ มันไม่ใช่ แต่ต้องไปดูตั้งแต่คนเริ่มเรียน คนกำลังใกล้จะจบ คนที่เป็นอนาคตจะเรียนรู้ตรงไหนก็ว่ากันมา
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า เรื่องการผลิตคนให้ตรงความต้องการของประเทศ เราต้องเอาเรื่องนี้ไปคิด ให้เป็นวิชาออกมา เหมือนตอนที่ตนเด็กๆ เรียนแกะสลัก เรียนอ๊อกเหล็ก ก็เรียนทั้งหมด เพราะจะได้รู้ว่าชอบอะไร ไม่อย่างนั้นคนก็ไปเรียน คุรุศาสตร์ บริหารจัดการ พอจบแล้วมาหางานทำได้ไหม เราต้องเพิ่มรายได้ของประชาชน ไม่ใช่ทุกคนคิดอะไรไม่ออกไปเป็นครู สื่อเคยคิดจะเป็นครูกันไหม คงไม่ได้ เพราะสอนลูกกันยังไม่ได้เลย เพราะลูกเป็นประชาธิปไตย แต่เราต้องสอนให้อยู่ในกรอบ ทุกคนในโลกต้องมีกรอบ ก่อนที่จะพัฒนาไปถึงตรงโน้น แล้วมาอ้างเรื่องประชาธิปไตย เพราะเขารบกันมาก่อนหรือเปล่า เขารบกันมาด้วยเรื่องอะไร แล้วใช้เวลาแก้ปัญหากี่สิบปี กี่ร้อยปี แล้ววันนี้เขาถึงเป็นอย่างนี้ ส่วนเรายังไปไม่ถึงไหนเลย จะเอาแบบนั้น มันทำได้ไหมเล่า ช่วงการเปลี่ยนผ่านของเราต้องมีระยะ 1 - 2 - 3 ถ้าเราไม่เตรียมการวันนี้ วันหน้าจะคิดกันแบบนี้ได้หรือ ไม่อย่างนั้นก็รบกันแบบนี้ ทะเลาะกันแบบนี้ไปไม่ได้หรอก ไม่มีประโยชน์ที่เราจะมาช่วยกัน