นายกฯ ย้อนสื่อฯ สมาชิก คสช.คนไหนจะเล่นการเมือง ฉุนจะเขียนเว้นวรรคหรือไม่ เรื่องของ กรธ. ขอให้เข้าใจกำลังแก้ไขปัญหาวางรากฐานประเทศ ติงไปฟังพวกหนีคดี เล่นแต่ข่าว คสช.ละเมิดสิทธิฯ ย้ำจับตาม กม. เปรียบกับไมค์ไม่ล้มง่ายๆ แจงปรับเสียงสะท้อนปรับลดเวลาการเรียน มีทั้งดี-เสีย ชี้มุ่งพัฒนาภูมิปัญญา ทำงานเป็น-คิดเป็น
วันนี้ (21 ม.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องกรณีกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จะพิจารณาให้คสช.ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปี ว่า “ก็ผมจะไปหรือยังล่ะ ผมจะไปถึงตรงนั้นหรือยัง จะเว้นวรรคยังไง ถามว่าใครจะไปเล่นการเมืองล่ะ” เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าอาจจะเป็นสมาชิก คสช. นายกฯ กล่าวว่า “ก็บอกมาสิ สมาชิกใน คสช.นี่เป็นใคร ไม่ต้องมีเผื่อ เดี๋ยวเขาก็คิดกันเองแหละ” เมื่อถามย้ำว่าจำเป็นต้องเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายกฯ กล่าวด้วยอารมณ์โมโหว่า “ก็เป็นเรื่องของเขาที่จะเขียนหรือไม่เขียน ก็ว่าไปเถอะ ไม่ต้องมามั่นใจ ทำไมพวกเธอถึงไม่ไปมั่นใจพวกคนเลวๆ ที่จะเข้ามาอีกล่ะ ไปเขียนล็อกพวกนั้นไม่ได้ อย่าเลย ฉันพูดกับเธอมันไม่เกิดประโยชน์หรอก ผมอารมณ์ไม่ดี ทุกทีแหละผมแกล้งอารมณ์ไม่ดีตลอด พอแกล้งไปแกล้งมาเป็นจริงทุกที ไอ้พวกนี้มันชอบกระตุ้น แต่ไม่ได้โกรธเธอหรอก แต่พวกเธอต้องเข้าใจสิว่าวันนี้เรากำลังแก้ไขปัญหาอยู่ กำลังวางพื้นฐานประเทศอยู่ แล้วต้องปฏิรูปให้ได้ แต่ทุกคนไม่ยอมรับอะไรเลย ใครจะทำล่ะ แบบประชาธิปไตยจะทำได้อีกไหม”
นายกฯ กล่าวว่า ทำไมไม่ใช้ประโยชน์จากตนวันนี้ ให้ทำงานตรงนี้ให้ได้ วันหน้าเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีว่าต้องทำอย่างไร วันนี้ก็ไปฟังพวกหนีคดี ไปฟังเขาอยู่นั่น มันผิดกฎหมายไม่ใช่หรือ ผิดอะไรบ้างเยอะแยะไปหมด แล้วไม่จับ ก็เปิดโอกาสให้เขาพูดอยู่นี่ แต่ไม่ใช่พูดส่งเดช “เขาพูดแล้วเธอทำลงหนังสือพิมพ์มาขาย เขาก็ผิด เธอก็ผิด เพราะกฎหมาย คสช.มันเขียนไว้อย่างนั้นเลยนะจะบอกให้ แต่เราก็ไม่ใช้ทั้งหมด แต่สื่อก็ไปเขียนอยู่ได้ว่า คสช.ละเมิดสิทธิมนุษยชน ขอถามว่ากระบวนการจับกุมมีจำนวนมากหรือไม่ มันมีทุกวัน จับแบบไหนก็คือจับ จับตามกฎหมายเท่านั้นเอง”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างนายกฯ ให้สัมภาษณ์ ขาไมโครโฟนได้เอนมาทางผู้สื่อข่าว นายกฯ กล่าวว่า “ไม่ต้องกลัว ไม่ล้มง่ายๆ หรอก จะเจาะยางยังไงก็ไม่ล้ม เพราะต้องยืนให้มั่น”
พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงกรณีเสียงสะท้อนของผู้ปกครองเรื่องการปรับลดระยะเวลาเรียนว่า เสียงสะท้อนมีสองอย่าง ทั้งดีและไม่ดี ก็ไปสรุปความเสียหายและไปปรับแก้มา ทั้งนี้เรื่องแนวคิดการปรับลดเวลาเรียนนั้น คิดจากชั่วโมงเรียนที่เหลือวันละ 2 ชั่วโมง แต่เดิมเวลาที่เหลือ เขาให้ครูไปจัดการเรียนการสอนทำนู้นทำนี่ วันนี้ก็ดึงเวลานั้นกลับมา แล้วให้มาเพิ่มการเรียนรู้ตรงนี้ ซึ่งการเรียนรู้มีหลายโปรแกรม มีหลายวิชา โดยเขตจะเป็นคนเลือกซึ่งไม่เหมือนกันทั้งประเทศ แต่เป็นการมุ่งเน้นการเรียนรู้ ซึ่งเป็นการเรียนรู้เพื่อพัฒนาภูมิปัญญาของเขาไปสู่การปฏิบัติ เราทำงานให้เป็น คิดให้เป็นกระบวนการ คิดอย่างที่ตนคิด ตนก็ไม่เคยเรียนมา ตนเรียนรู้เอง และสื่อเรียนรู้หรือยัง วันนี้นโยบายของรัฐบาลคือการพัฒนาเรื่องการศึกษาทั้งในระบบ นอกระบบ การศึกษาเองที่บ้าน และการศึกษานอกโรงเรียนก็ต้องปรับปรุงเพื่อให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งการที่นักเรียนจะมีประสิทธิภาพอยู่ที่ความลงตัวระหว่างครู นักเรียน ผู้ปกครอง ท่านต้องไปดูว่าเราขาดตรงไหน เติมตรงไหน มันสั่งไม่ได้หรอก ท่านจะมาบอกว่าการพัฒนาการศึกษาไม่มีอะไร เด็กไม่พอใจ การศึกษาไม่ได้ประเมินกันแบบนี้ ไม่ได้ประเมินที่ผลสัมฤทธิ์ของประเทศ หรือการพัฒนาของมนุษย์มันไม่ใช่ แต่ต้องไปดูตั้งแต่คนเริ่มเรียน คนกำลังใกล้จะจบ คนที่เป็นอนาคตจะเรียนรู้ตรงไหนก็ว่ากันมา
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เรื่องการผลิตคนให้ตรงความต้องการของประเทศ เราต้องเอาเรื่องนี้ไปคิด ให้เป็นวิชาออกมา เหมือนตอนที่ตนเด็กๆ เรียนแกะสลัก เรียนอ๊อกเหล็กก็เรียนทั้งหมด เพราะจะได้รู้ว่าชอบอะไร ไม่อย่างนั้นคนก็ไปเรียน คุรุศาสตร์ บริหารจัดการ พอจบแล้วมาหางานทำได้ไหม เราต้องเพิ่มรายได้ของประชาชน ไม่ใช่ทุกคนคิดอะไรไม่ออกไปเป็นครู จะทำได้ไหมเล่า สื่อเคยคิดจะเป็นครูกันไหม คงไม่ได้เพราะสอนลูกกันยังไม่ได้เลย เพราะลูกเป็นประชาธิปไตย แต่เราต้องสอนให้อยู่ในกรอบ ทุกคนในโลกต้องมีกรอบ ก่อนที่จะพัฒนาไปถึงตรงโน้น แล้วมาอ้างเรื่องประชาธิปไตย เพราะเขารบกันมาก่อนหรือเปล่า เขารบกันมาด้วยเรื่องอะไร แล้วใช้เวลาแก้ปัญหากี่สิบปี กี่ร้อยปี แล้ววันนี้เขาถึงเป็นอย่างนี้ ส่วนเรายังไปไม่ถึงไหนเลย จะเอาแบบนั้น มันทำได้ไหมเล่า ช่วงการเปลี่ยนผ่านของเราต้องมีระยะ 1- 2-3 ถ้าเราไม่เตรียมการวันนี้ วันหน้าจะคิดกันแบบนี้ได้หรอ ไม่อย่างนั้นก็รบกันแบบนี้ ทะเลาะกันแบบนี้ไปไม่ได้หรอก ไม่มีประโยชน์ที่เราจะมาช่วยกัน