เมื่อวันที่ 18 มกราคม เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สน.ดุสิต นำตัว นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา หรือ เดอะบิ๊ก ประธานสโมสรฟุตบอลเพื่อนตำรวจ ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลอาญา ที่ 90/2559 ลงวันที่ 15 มกราคม 2559 ในข้อหาร่วมกันปลอมตั๋วเงิน และใช้ตั๋วเงินปลอม,ร่วมกันฉ้อโกง,ร่วมกันออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย โดยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค มาสอบสวน หลังตำรวจเข้าควบคุมตัวนายสัมฤทธิ์ได้ เมื่อช่วงเย็นวันที่ 17 มกราคม ที่วัดสะแก ต.ธนู อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา
ต่อมาเวลา 12.00 น. พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รรท.ผบช.น. แถลงว่า จากการสอบสวน นายสัมฤทธิ์ได้ให้การปฏิเสธเรื่องการทุจริตทุกข้อกล่าวหา ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนโดยมอบหมายให้ พล.ต.ต.จารุวัฒน์ ไวศยะ รอง ผบช.น. เป็นหัวหน้าชุดสอบสวนเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานต่อไป เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ยังไม่ให้ประกันตัวเนื่องจากเป็นคดีที่มีมูลค่าความเสียหายค่อนข้างสูง แต่จะขอพิจารณาอีกที โดยจะขอฝากขังที่ศาลอาญารัชดา ในวันที่ 19 มกราคม เวลาประมาณ 12.00 น. ซึ่งนายสัมฤทธิ์ไม่ขอเปิดเผยขอมูลต่อสื่อมวลชนทุกกรณี
ด้านนายสอและ กูมุดา ทนายส่วนตัวของนายสัมฤทธิ์ เผยว่า นายสัมฤทธิ์ไม่ได้รับหมายเรียก และไม่ได้รับรู้ว่าตัวเองถูกหมายเรียก จนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมขณะไปไหว้พระทำบุญที่ จ.อยุธยา ส่วนจะดำเนินการอย่างไรต่อไปนั้น ต้องรอให้พนักงานสอบสวนเสร็จสิ้นก่อนซึ่งต้องใช้เวลา ส่วนรายละเอียดลึกๆ นั้นไม่สามารถเปิดเผยได้ คดีนี้ไม่ทราบว่ามีการแจ้งความไว้ตั้งแต่เมื่อใด ทราบแต่เพียงว่ามีการสอบสวนพยานไปหลายปากแล้ว สำหรับวงเงินประกันตัวนั้นไม่สามารถระบุได้ เพราะเป็นดุลยพินิจของทางศาล แต่คาดว่าน่าจะเป็นวงเงินที่สูง
สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับหมายจับของนายสัมฤทธิ์ว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2557-2 มิถุนายน 2558 ที่ผ่านมา นายสัมฤทธิ์ได้ทำธุรกรรมเกี่ยวกับการเงินผ่าน บริษัทบิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด ,อาคารปาร์ควิเซอร์ อินโคเพล็ค ,สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ,กระทรวงศึกษาธิการ ,ธนาคารแลนด์แอนด์เฮาส์ จำกัด(มหาชน) สำนักลุมพินี ต่อเนื่องกัน
ทั้งนี้ บริษัทบิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด เป็นของนายสัมฤทธิ์ ซึ่งได้มีการกู้เงินกับกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการสวัสดิการเงินกู้กองทุนฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) เป็นจำนวนทั้งสิ้น 3 ครั้ง มูลค่ารวมกว่า 2,100 ล้านบาท ต่อมาทาง สกสค. ตรวจพบว่า ไม่ได้มีการทำเรื่องกู้ยืมที่ถูกต้องตามขั้นตอน เนื่องจากไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจาก สกสค. และยังพบว่าใช้เอกสารปลอมในการกู้ยืม ซึ่งไม่สามารถใช้เป็นเอกสารหรือหลักฐานในการค้ำประกันเงินกู้ได้จริง จากนั้นได้ร้องให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เข้ามาตรวจสอบ จนมีการดำเนินคดี
นอกจากนี้ ทางสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. พบว่า อดีตเลขาฯ สกสค. ร่วมกับกรรมการ ช.พ.ค. นำเงิน ช.พ.ค.ให้บริษัท บิลเลี่ยนฯ กู้ยืมเงินผ่านการซื้อตั๋วสัญญาใช้เงิน 3 ครั้ง เป็นเงิน 2,100 ล้านบาท ซึ่งพฤติการณ์เป็นการฉ้อโกง ปลอมแปลงเอกสาร ฟอกเงินฯลฯ ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดจะมีจะการแถลงภายหลังการสอบปากคำเสร็จสิ้น
ส่วนความคืบหน้ากรณีที่ นายสัมฤทธิ์ เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป.เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2558 ให้ดำเนินคดีกับกลุ่มชายฉกรรจ์ รวม 9 คน ที่อ้างว่าได้ร่วมกันอุ้มตนไปกักขังหน่วงเหนี่ยว และกรรโชกทรัพย์ เป็นเงิน 177 ล้านบาท ที่ค่ายลูกเสือแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.ท่าแลง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี เหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2558 โดยเชื่อว่ามูลเหตุมาจากปัญหาขัดแย้งเกี่ยวกับการนำเงินกู้จำนวน 2,100 ล้านบาท จาก สกสค. ไปลงทุนธุรกิจโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ว่า พนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนคดีให้กับทางอัยการไปแล้ว ซึ่งทางอัยการ อยู่ระหว่างพิจารณาส่งฟ้องคดีต่อศาล
ต่อมาเวลา 12.00 น. พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รรท.ผบช.น. แถลงว่า จากการสอบสวน นายสัมฤทธิ์ได้ให้การปฏิเสธเรื่องการทุจริตทุกข้อกล่าวหา ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนโดยมอบหมายให้ พล.ต.ต.จารุวัฒน์ ไวศยะ รอง ผบช.น. เป็นหัวหน้าชุดสอบสวนเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานต่อไป เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ยังไม่ให้ประกันตัวเนื่องจากเป็นคดีที่มีมูลค่าความเสียหายค่อนข้างสูง แต่จะขอพิจารณาอีกที โดยจะขอฝากขังที่ศาลอาญารัชดา ในวันที่ 19 มกราคม เวลาประมาณ 12.00 น. ซึ่งนายสัมฤทธิ์ไม่ขอเปิดเผยขอมูลต่อสื่อมวลชนทุกกรณี
ด้านนายสอและ กูมุดา ทนายส่วนตัวของนายสัมฤทธิ์ เผยว่า นายสัมฤทธิ์ไม่ได้รับหมายเรียก และไม่ได้รับรู้ว่าตัวเองถูกหมายเรียก จนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมขณะไปไหว้พระทำบุญที่ จ.อยุธยา ส่วนจะดำเนินการอย่างไรต่อไปนั้น ต้องรอให้พนักงานสอบสวนเสร็จสิ้นก่อนซึ่งต้องใช้เวลา ส่วนรายละเอียดลึกๆ นั้นไม่สามารถเปิดเผยได้ คดีนี้ไม่ทราบว่ามีการแจ้งความไว้ตั้งแต่เมื่อใด ทราบแต่เพียงว่ามีการสอบสวนพยานไปหลายปากแล้ว สำหรับวงเงินประกันตัวนั้นไม่สามารถระบุได้ เพราะเป็นดุลยพินิจของทางศาล แต่คาดว่าน่าจะเป็นวงเงินที่สูง
สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับหมายจับของนายสัมฤทธิ์ว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2557-2 มิถุนายน 2558 ที่ผ่านมา นายสัมฤทธิ์ได้ทำธุรกรรมเกี่ยวกับการเงินผ่าน บริษัทบิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด ,อาคารปาร์ควิเซอร์ อินโคเพล็ค ,สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ,กระทรวงศึกษาธิการ ,ธนาคารแลนด์แอนด์เฮาส์ จำกัด(มหาชน) สำนักลุมพินี ต่อเนื่องกัน
ทั้งนี้ บริษัทบิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด เป็นของนายสัมฤทธิ์ ซึ่งได้มีการกู้เงินกับกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการสวัสดิการเงินกู้กองทุนฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) เป็นจำนวนทั้งสิ้น 3 ครั้ง มูลค่ารวมกว่า 2,100 ล้านบาท ต่อมาทาง สกสค. ตรวจพบว่า ไม่ได้มีการทำเรื่องกู้ยืมที่ถูกต้องตามขั้นตอน เนื่องจากไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจาก สกสค. และยังพบว่าใช้เอกสารปลอมในการกู้ยืม ซึ่งไม่สามารถใช้เป็นเอกสารหรือหลักฐานในการค้ำประกันเงินกู้ได้จริง จากนั้นได้ร้องให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เข้ามาตรวจสอบ จนมีการดำเนินคดี
นอกจากนี้ ทางสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. พบว่า อดีตเลขาฯ สกสค. ร่วมกับกรรมการ ช.พ.ค. นำเงิน ช.พ.ค.ให้บริษัท บิลเลี่ยนฯ กู้ยืมเงินผ่านการซื้อตั๋วสัญญาใช้เงิน 3 ครั้ง เป็นเงิน 2,100 ล้านบาท ซึ่งพฤติการณ์เป็นการฉ้อโกง ปลอมแปลงเอกสาร ฟอกเงินฯลฯ ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดจะมีจะการแถลงภายหลังการสอบปากคำเสร็จสิ้น
ส่วนความคืบหน้ากรณีที่ นายสัมฤทธิ์ เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป.เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2558 ให้ดำเนินคดีกับกลุ่มชายฉกรรจ์ รวม 9 คน ที่อ้างว่าได้ร่วมกันอุ้มตนไปกักขังหน่วงเหนี่ยว และกรรโชกทรัพย์ เป็นเงิน 177 ล้านบาท ที่ค่ายลูกเสือแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.ท่าแลง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี เหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2558 โดยเชื่อว่ามูลเหตุมาจากปัญหาขัดแย้งเกี่ยวกับการนำเงินกู้จำนวน 2,100 ล้านบาท จาก สกสค. ไปลงทุนธุรกิจโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ว่า พนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนคดีให้กับทางอัยการไปแล้ว ซึ่งทางอัยการ อยู่ระหว่างพิจารณาส่งฟ้องคดีต่อศาล