การประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) วานนี้ (15 ธ.ค.) มีการพิจารณาจำนวนของคณะรัฐมนตรี โดยกำหนดให้มี 35 คน ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นผู้เลือกตามสูตรเดิมของรัฐธรรมนูญปี 2550 ส่วนคุณสมบัติของผู้เป็นรัฐมนตรี ต้องเป็นผู้มีความสุจริต และไม่มีปัญหาเรื่องจริยธรรม นอกจากนี้ กำหนดให้กรณีที่รัฐมนตรีถูกตรวจสอบว่าไม่สุจริต มีปัญหาด้านจริยธรรม ให้ผู้ที่พบเห็นร้องเพื่อเข้าสู่กระบวนการให้พ้นจากตำแหน่งได้ ขณะที่ กรธ.กำหนดให้ ส.ส.สามารถเป็นรัฐมนตรีได้โดยไม่ต้องลาออกจากตำแหน่ง
ส่วนที่มาของนายกรัฐมนตรี ที่ประชุมยืนยันหลักการเดิม คือพรรคการเมืองต้องเสนอชื่อบัญชีรายชื่อที่พรรคสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งนายกฯ 1 บัญชี ไม่เกิน 5 รายชื่อ ก่อนลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ส.ส. และเมื่อเลือกตั้งแล้วเสร็จ จะให้สิทธิพรรคการเมืองที่ได้จำนวน ส.ส. ร้อยละ 5 ของจำนวน ส.ส.ทั้งหมด เสนอชื่อบุคคลเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ให้ลงคะแนนเลือกบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรี โดยใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส.ทั้งหมด
ทั้งนี้ กรธ.ได้ตัดประเด็นที่เคยกำหนดในรัฐธรรมนูญปี 50 ที่กำหนดว่า "เมื่อพ้น 30 วันนับจากการเปิดประชุมสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีแล้ว ไม่มีผู้ใดได้รับเลือกด้วยเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดของสภาผู้แทนราษฎร ให้ประธานสภาฯ ทูลเกล้า ฯ ชื่อบุคคลผู้ได้รับเสียงข้างมากเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรี" เพราะเห็นว่าไม่มีความจำเป็น และหากคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรเกินกึ่งหนึ่ง อาจมีปัญหาต่อการยอมรับในสภาได้ ดังนั้น หากเกิดกรณีเสียงไม่ถึงเกณฑ์เกิดขึ้น พรรคการเมืองก็ต้องไปหาเสียงมาให้ได้ เพราะหากทำไม่ได้ในระยะเวลาหนึ่ง ก็อาจต้องยุบสภา
ส่วนที่มาของนายกรัฐมนตรี ที่ประชุมยืนยันหลักการเดิม คือพรรคการเมืองต้องเสนอชื่อบัญชีรายชื่อที่พรรคสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งนายกฯ 1 บัญชี ไม่เกิน 5 รายชื่อ ก่อนลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ส.ส. และเมื่อเลือกตั้งแล้วเสร็จ จะให้สิทธิพรรคการเมืองที่ได้จำนวน ส.ส. ร้อยละ 5 ของจำนวน ส.ส.ทั้งหมด เสนอชื่อบุคคลเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ให้ลงคะแนนเลือกบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรี โดยใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส.ทั้งหมด
ทั้งนี้ กรธ.ได้ตัดประเด็นที่เคยกำหนดในรัฐธรรมนูญปี 50 ที่กำหนดว่า "เมื่อพ้น 30 วันนับจากการเปิดประชุมสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีแล้ว ไม่มีผู้ใดได้รับเลือกด้วยเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดของสภาผู้แทนราษฎร ให้ประธานสภาฯ ทูลเกล้า ฯ ชื่อบุคคลผู้ได้รับเสียงข้างมากเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรี" เพราะเห็นว่าไม่มีความจำเป็น และหากคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรเกินกึ่งหนึ่ง อาจมีปัญหาต่อการยอมรับในสภาได้ ดังนั้น หากเกิดกรณีเสียงไม่ถึงเกณฑ์เกิดขึ้น พรรคการเมืองก็ต้องไปหาเสียงมาให้ได้ เพราะหากทำไม่ได้ในระยะเวลาหนึ่ง ก็อาจต้องยุบสภา