พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ กล่าวปาฐกถาพิเศษเนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล เรื่อง “ประเทศไทยโปร่งใส... ได้อย่างไร” ตอนหนึ่งว่า การคอร์รัปชันเป็นเรื่องที่ตนเกลียดมากที่สุด การต่อต้านคอร์รัปชันไม่ใช่ทำแค่วันนี้วันเดียว แต่ต้องทำทุกเวลา ซึ่งการคอร์รัปชันนั้น ตนขอให้ความหมายว่าเป็นการปล้นชาติ และคนในชาติก็กำลังถูกปล้นตลอดเวลา เป็นสิ่งเลวร้ายที่ทำให้ประเทศไทยยากจน ถูกดูหมิ่นว่าประเทศเราขี้โกง เกิดความอับอายขายหน้า
พล.อ.เปรม กล่าวอีกว่า ส่วนปัญหาหนึ่งเกิดจากปัญหายาเสพติด ข้าราชการเลือกข้าง ข้าราชการเอาตัวรอด ถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ ปัญหาการทุจริตหยั่งรากลึกในสังคมไทยจนกลายเป็นที่ยอมรับของคนไทย มีระบบอุปถัมภ์ที่กลายเป็นเรื่องธรรมดา ผู้มีอำนาจเอื้อผลประโยชน์แก่พวกพ้อง ทำให้บ้านเมืองเสียเงินมหาศาลในการพัฒนาประเทศ ถ้าเราไม่ทุจริต ประเทศไทยจะเจริญก้าวหน้าไม่แพ้ประเทศชั้นนำในโลก
“แม้ปัญหาการทุจริตจะปรับตัวดีขึ้น แต่พบว่ามูลค่าความเสียหายในแต่ละปีที่เกิดจากการทุจริตของข้าราชการ นักการเมือง สูงถึง 161,145 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใหญ่มาก น่ากลัวมาก ตัวเลขนี้จะมีกลิ่นหอมหรือมีกลิ่นเหม็นแล้วแต่คนดม บางคนดมก็ว่าหอม บางคนก็ว่าเหม็น ส่วนต่างประเทศเขาจะมองเราอย่างไรพวกเราก็พอรู้กัน โดยการจัดอันดับดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น เราอยู่ลำดับที่85 ทั้งที่จริงประเทศของเราจะต้องดีกว่านี้ได้” พล.อ.เปรมระบุ
พร้อมทั้งระบุว่า ดังนั้นสิ่งที่เราจะทำคือ ต้องร่วมมือร่วมใจกัน ทำให้ชาติของเราโปร่งใส สะอาด ต้องหาทางขจัดคนไม่ดีคนทุจริตให้หมดไปจากประเทศ โดยต้องเริ่มจากตัวเราเอง ต้องมีคุณธรรม จริยธรรม เพราะคนที่มีคุณธรรม จริยธรรมจะไม่โกง ต้องเลิกระบบอุปถัมภ์นำระบบคุณธรรมมาแทนต้องไม่ช่วยคนโกง คนที่ทุจริตร่วมมือกับคนที่ทุจริต ให้เรียกว่าคนที่ทรยศต่อชาติ
พล.อ.เปรม กล่าวด้วยว่า คนเหล่านั้นไม่ควรได้รับการยกย่องนับถือ ที่สำคัญควรอบรมปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และหลักธรรมาภิบาล ตั้งแต่เด็กเพื่อให้เยาวชนได้ตระหนักความเลวร้ายของการคอร์รัปชัน การทำธุรกิจโดยไม่โกงก็มีความก้าวหน้าได้ ไม่ปล่อยให้คนโกงลอยนวล ช่วยกันดำเนินการตามกฎหมาย ช่วยสนับสนุนการดำเนินการเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในการปราบปรามการทุจริต ผู้บริหารองค์กรต้องทำองค์กรให้บริสุทธิ์ตรวจสอบได้ พูดการปล้นชาติบ่อยๆให้คนได้ยินไปปรับตัวเอง ขอให้รัฐบาลใช้ช่องทางทีวีของรัฐสร้างความเข้าใจปัญหาคอร์รัปชัน และการจัดการคนทุจริต ต้องรวดเร็ว รุนแรง และเด็ดขาด โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรม ต้องมีบทลงโทษรุนแรง กฎหมายต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อการลงโทษ
ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กล่าวในตอนท้ายว่า หากมีคนเห็นคนโกงแล้วไม่ห้าม เพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตนเอง คนไทยคงจะหมดหวังที่จะเห็นประเทศมีกลิ่นหอมหากมีคนพวกนี้
พล.อ.เปรม กล่าวอีกว่า ส่วนปัญหาหนึ่งเกิดจากปัญหายาเสพติด ข้าราชการเลือกข้าง ข้าราชการเอาตัวรอด ถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ ปัญหาการทุจริตหยั่งรากลึกในสังคมไทยจนกลายเป็นที่ยอมรับของคนไทย มีระบบอุปถัมภ์ที่กลายเป็นเรื่องธรรมดา ผู้มีอำนาจเอื้อผลประโยชน์แก่พวกพ้อง ทำให้บ้านเมืองเสียเงินมหาศาลในการพัฒนาประเทศ ถ้าเราไม่ทุจริต ประเทศไทยจะเจริญก้าวหน้าไม่แพ้ประเทศชั้นนำในโลก
“แม้ปัญหาการทุจริตจะปรับตัวดีขึ้น แต่พบว่ามูลค่าความเสียหายในแต่ละปีที่เกิดจากการทุจริตของข้าราชการ นักการเมือง สูงถึง 161,145 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใหญ่มาก น่ากลัวมาก ตัวเลขนี้จะมีกลิ่นหอมหรือมีกลิ่นเหม็นแล้วแต่คนดม บางคนดมก็ว่าหอม บางคนก็ว่าเหม็น ส่วนต่างประเทศเขาจะมองเราอย่างไรพวกเราก็พอรู้กัน โดยการจัดอันดับดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น เราอยู่ลำดับที่85 ทั้งที่จริงประเทศของเราจะต้องดีกว่านี้ได้” พล.อ.เปรมระบุ
พร้อมทั้งระบุว่า ดังนั้นสิ่งที่เราจะทำคือ ต้องร่วมมือร่วมใจกัน ทำให้ชาติของเราโปร่งใส สะอาด ต้องหาทางขจัดคนไม่ดีคนทุจริตให้หมดไปจากประเทศ โดยต้องเริ่มจากตัวเราเอง ต้องมีคุณธรรม จริยธรรม เพราะคนที่มีคุณธรรม จริยธรรมจะไม่โกง ต้องเลิกระบบอุปถัมภ์นำระบบคุณธรรมมาแทนต้องไม่ช่วยคนโกง คนที่ทุจริตร่วมมือกับคนที่ทุจริต ให้เรียกว่าคนที่ทรยศต่อชาติ
พล.อ.เปรม กล่าวด้วยว่า คนเหล่านั้นไม่ควรได้รับการยกย่องนับถือ ที่สำคัญควรอบรมปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และหลักธรรมาภิบาล ตั้งแต่เด็กเพื่อให้เยาวชนได้ตระหนักความเลวร้ายของการคอร์รัปชัน การทำธุรกิจโดยไม่โกงก็มีความก้าวหน้าได้ ไม่ปล่อยให้คนโกงลอยนวล ช่วยกันดำเนินการตามกฎหมาย ช่วยสนับสนุนการดำเนินการเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในการปราบปรามการทุจริต ผู้บริหารองค์กรต้องทำองค์กรให้บริสุทธิ์ตรวจสอบได้ พูดการปล้นชาติบ่อยๆให้คนได้ยินไปปรับตัวเอง ขอให้รัฐบาลใช้ช่องทางทีวีของรัฐสร้างความเข้าใจปัญหาคอร์รัปชัน และการจัดการคนทุจริต ต้องรวดเร็ว รุนแรง และเด็ดขาด โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรม ต้องมีบทลงโทษรุนแรง กฎหมายต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อการลงโทษ
ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กล่าวในตอนท้ายว่า หากมีคนเห็นคนโกงแล้วไม่ห้าม เพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตนเอง คนไทยคงจะหมดหวังที่จะเห็นประเทศมีกลิ่นหอมหากมีคนพวกนี้