ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 250 จุดเมื่อคืนนี้ (3 ธ.ค.) ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี500 ดิ่งลงหนักสุดในรอบเกือบ 2 เดือน เนื่องจากนักลงทุนมองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ประกาศเมื่อวานนั้น ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะหนุนเศรษฐกิจยูโรโซนให้ฟื้นตัวขึ้นได้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากนางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกมาส่งสัญญาณที่ชัดเจนอีกครั้งเมื่อวานนี้ว่า เฟดพร้อมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดการซื้อขายวันที่ 3 ธ.ค. ในแดนลบ โดยดัชนีดาวโจนส์ลดลง 252.01 จุด หรือ 1.42% ปิดที่ 17,477.67 จุด ส่วนดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 29.89 จุด หรือ 1.44% ปิดที่ 2,049.62 จุด ขณะที่ดัชนีแนสแด็กลดลง 85.69 จุด หรือ 1.67% ปิดที่ 5,037.53 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างซบเซา หลังจากอีซีบี ได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับอีซีบี สู่ระดับ -0.3% จากเดิมที่ -0.2% ในการประชุมเมื่อวานนี้ และประกาศขยายระยะเวลาในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ไปจนถึงเดือนมี.ค.2560 จากเดิมที่มีกำหนดสิ้นสุดในเดือนก.ย.2559
นักลงทุนมองว่ามาตรการดังกล่าวยังไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจยูโรโซนให้ฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งได้ โดยก่อนหน้านี้ตลาดคาดการณ์เป็นวงกว้างว่า อีซีบี จะเพิ่มวงเงินซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE และจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมากกว่าที่ได้ประกาศเมื่อวานนี้
ขณะเดียวกันตลาดได้รับแรงกดดันหลังจากนางเยลเลนแถลงต่อคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจร่วมของสภาคองเกรสสหรัฐว่า เธอมีความพร้อมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐกำลังปรับตัวดีขึ้น โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงหลายเดือนข้างหน้า
นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซายังส่งผลกดดันบรรยากาศการซื้อขายให้ซบเซาลงด้วย โดยเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลไทย มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) สำหรับภาคบริการของสหรัฐ ชะลอตัวสู่ระดับ 56.1 ในเดือนพ.ย. ลดลงจากตัวเลขเบื้องต้นที่ระดับ 56.5
ขณะที่ผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ระบุว่าภาคบริการของสหรัฐชะลอตัวในเดือนพ.ย. จากกิจกรรมทางธุรกิจที่ลดลง โดยดัชนีภาคบริการของ ISM อยู่ที่ 55.9 ในเดือนพ.ย. ลดลงจากระดับ 59.1 ในเดือนต.ค.
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง โดยหุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ดิ่งลง 12% หุ้นเซาท์เวสเทิร์น เอนเนอร์จี และหุ้นมาราธอน ปิโตรเลียม ต่างก็ร่วงลงกว่า 6.1%
หุ้นกลุ่มธุรกิจเพื่อสุขภาพยังคงร่วงลงต่อเนื่อง โดยหุ้นเวอร์เท็กซ์ ฟาร์มาซูติคัล และหุ้นเซลจีน คอร์ป ปรับตัวลงกว่า 4.3% ขณะที่หุ้นเมอร์ค แอนด์ โค และหุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ กรุ๊ป ดิ่งลงกว่า 2.2%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลงเช่นกัน โดยหุ้นไมโครซอฟท์ และหุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลงกว่า 1.5% ขณะที่หุ้นยาฮูดิ่งลง 3.7% และหุ้นคอร์นิง อิงค์ ร่วงลง 4.9%
นักลงทุนจับตาดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนพ.ย.ที่จะมีการเปิดเผยในวันนี้อย่างใกล้ชิด เพราะเป็นข้อมูลที่จะบ่งชี้ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้านี้หรือไม่ ขณะที่ผลการสำรวจนักวิเคราะห์ระบุว่า กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่ง โดยลดลงจากระดับ 271,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. และคาดว่า อัตราการว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 5.0%
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดการซื้อขายวันที่ 3 ธ.ค. ในแดนลบ โดยดัชนีดาวโจนส์ลดลง 252.01 จุด หรือ 1.42% ปิดที่ 17,477.67 จุด ส่วนดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 29.89 จุด หรือ 1.44% ปิดที่ 2,049.62 จุด ขณะที่ดัชนีแนสแด็กลดลง 85.69 จุด หรือ 1.67% ปิดที่ 5,037.53 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างซบเซา หลังจากอีซีบี ได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับอีซีบี สู่ระดับ -0.3% จากเดิมที่ -0.2% ในการประชุมเมื่อวานนี้ และประกาศขยายระยะเวลาในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ไปจนถึงเดือนมี.ค.2560 จากเดิมที่มีกำหนดสิ้นสุดในเดือนก.ย.2559
นักลงทุนมองว่ามาตรการดังกล่าวยังไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจยูโรโซนให้ฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งได้ โดยก่อนหน้านี้ตลาดคาดการณ์เป็นวงกว้างว่า อีซีบี จะเพิ่มวงเงินซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE และจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมากกว่าที่ได้ประกาศเมื่อวานนี้
ขณะเดียวกันตลาดได้รับแรงกดดันหลังจากนางเยลเลนแถลงต่อคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจร่วมของสภาคองเกรสสหรัฐว่า เธอมีความพร้อมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐกำลังปรับตัวดีขึ้น โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงหลายเดือนข้างหน้า
นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซายังส่งผลกดดันบรรยากาศการซื้อขายให้ซบเซาลงด้วย โดยเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลไทย มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) สำหรับภาคบริการของสหรัฐ ชะลอตัวสู่ระดับ 56.1 ในเดือนพ.ย. ลดลงจากตัวเลขเบื้องต้นที่ระดับ 56.5
ขณะที่ผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ระบุว่าภาคบริการของสหรัฐชะลอตัวในเดือนพ.ย. จากกิจกรรมทางธุรกิจที่ลดลง โดยดัชนีภาคบริการของ ISM อยู่ที่ 55.9 ในเดือนพ.ย. ลดลงจากระดับ 59.1 ในเดือนต.ค.
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง โดยหุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ดิ่งลง 12% หุ้นเซาท์เวสเทิร์น เอนเนอร์จี และหุ้นมาราธอน ปิโตรเลียม ต่างก็ร่วงลงกว่า 6.1%
หุ้นกลุ่มธุรกิจเพื่อสุขภาพยังคงร่วงลงต่อเนื่อง โดยหุ้นเวอร์เท็กซ์ ฟาร์มาซูติคัล และหุ้นเซลจีน คอร์ป ปรับตัวลงกว่า 4.3% ขณะที่หุ้นเมอร์ค แอนด์ โค และหุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ กรุ๊ป ดิ่งลงกว่า 2.2%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลงเช่นกัน โดยหุ้นไมโครซอฟท์ และหุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลงกว่า 1.5% ขณะที่หุ้นยาฮูดิ่งลง 3.7% และหุ้นคอร์นิง อิงค์ ร่วงลง 4.9%
นักลงทุนจับตาดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนพ.ย.ที่จะมีการเปิดเผยในวันนี้อย่างใกล้ชิด เพราะเป็นข้อมูลที่จะบ่งชี้ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้านี้หรือไม่ ขณะที่ผลการสำรวจนักวิเคราะห์ระบุว่า กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่ง โดยลดลงจากระดับ 271,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. และคาดว่า อัตราการว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 5.0%