ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (24 พ.ย.) เพราะได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวขึ้นเนื่องจากข่าวเครื่องบินรบของรัสเซียถูกยิงตกในบริเวณชายแดนซีเรีย นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยบวกจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 3 ของสหรัฐที่ขยายตัวได้ดีกว่าการประมาณการครั้งก่อน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,812.19 จุด เพิ่มขึ้น 19.51 จุด หรือ +0.11% ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 5,102.81 จุด เพิ่มขึ้น 0.33 จุด หรือ +0.01% ดัชนีเอสแอนด์พี500 ปิดที่ 2,089.14 จุด เพิ่มขึ้น 2.55 จุด หรือ +0.12%
ในช่วงแรกนั้น ดัชนีดาวโจนส์เปิดตลาดร่วงลงเนื่องจากความวิตกกังวลว่า สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางจะทวีความรุนแรงมากขึ้น หลังจากเครื่องบินขับไล่ Su-24 ของรัสเซียถูกตุรกียิงตกลงใกล้ชายแดนซีเรียเมื่อวานนี้ เนื่องจากรัสเซียรุกล้ำน่านฟ้าของตุรกี ขณะที่ทางการซีเรียมองว่า การที่ตุรกียิงเครื่องบินรบของรัสเซียตก ถือเป็นการก่ออาชญากรรม
อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นในเวลาต่อมา เนื่องจากข่าวเครื่องบินรัสเซียถูกยิงตกนั้น ได้หนุนราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปรับตัวขึ้น ซึ่งช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นด้วย โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 2% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จีทะยานขึ้น 5.5% และหุ้นมาราธอน ออยล์ คอร์ป พุ่งขึ้น 5.6% หุ้นไพโอเนียร์ เนเชอรัล รีซอส ดีดขึ้นกว่า 2.5% และหุ้นเมอร์ฟีย์ ออยล์ คอร์ปอเรชัน พุ่งขึ้น 3.7%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นนิวมอนท์ ไมนิ่ง คอร์ป พุ่งขึ้น 2.5% หุ้นนูคอร์ คอร์ป ปรับขึ้น 3.7% และหุ้นฟรีพอร์ท แมค-มอแรน ทะยานขึ้น 3.8%
หุ้นกลุ่มสายการบินยังคงถูกเทขายอย่างต่อเนื่อง โดยหุ้นยูไนเต็ด คอนติเนนตัล โฮลดิงส์ ร่วงลง 3% และหุ้นเดลตา แอร์ไลน์ ดิ่งลง 3.1%
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า จีดีพีไตรมาส 3 ปีนี้ ขยายตัว 2.1% เมื่อเทียบรายไตรมาส ซึ่งสูงกว่าตัวเลขประเมินก่อนหน้านี้ที่ระดับ 1.5% และสูงกว่าระดับ 0.6% ในไตรมาสแรก อันเป็นผลมาจากการทบทวนปรับเพิ่มตัวเลขสินค้าคงคลังในภาคเอกชน รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของการลงทุนในภาคการก่อสร้าง
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆที่มีการเปิดเผยล่าสุดนั้น สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์เปิดเผยผลสำรวจซึ่งระบุว่า ราคาบ้านในสหรัฐปรับตัวขึ้นในเดือนก.ย. เนื่องจากจากการที่ปริมาณบ้านที่เสนอขายในตลาดมีจำกัด ทำให้ผู้ซื้อต้องเสนอราคาเพิ่มขึ้น โดยดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐ เพิ่มขึ้น 4.9% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าระดับ 4.6% ในเดือนส.ค.
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนต.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเบื้องต้นเดือนพ.ย., ยอดขายบ้านใหม่เดือนต.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงท้ายเดือนพ.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,812.19 จุด เพิ่มขึ้น 19.51 จุด หรือ +0.11% ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 5,102.81 จุด เพิ่มขึ้น 0.33 จุด หรือ +0.01% ดัชนีเอสแอนด์พี500 ปิดที่ 2,089.14 จุด เพิ่มขึ้น 2.55 จุด หรือ +0.12%
ในช่วงแรกนั้น ดัชนีดาวโจนส์เปิดตลาดร่วงลงเนื่องจากความวิตกกังวลว่า สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางจะทวีความรุนแรงมากขึ้น หลังจากเครื่องบินขับไล่ Su-24 ของรัสเซียถูกตุรกียิงตกลงใกล้ชายแดนซีเรียเมื่อวานนี้ เนื่องจากรัสเซียรุกล้ำน่านฟ้าของตุรกี ขณะที่ทางการซีเรียมองว่า การที่ตุรกียิงเครื่องบินรบของรัสเซียตก ถือเป็นการก่ออาชญากรรม
อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นในเวลาต่อมา เนื่องจากข่าวเครื่องบินรัสเซียถูกยิงตกนั้น ได้หนุนราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปรับตัวขึ้น ซึ่งช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นด้วย โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 2% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จีทะยานขึ้น 5.5% และหุ้นมาราธอน ออยล์ คอร์ป พุ่งขึ้น 5.6% หุ้นไพโอเนียร์ เนเชอรัล รีซอส ดีดขึ้นกว่า 2.5% และหุ้นเมอร์ฟีย์ ออยล์ คอร์ปอเรชัน พุ่งขึ้น 3.7%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นนิวมอนท์ ไมนิ่ง คอร์ป พุ่งขึ้น 2.5% หุ้นนูคอร์ คอร์ป ปรับขึ้น 3.7% และหุ้นฟรีพอร์ท แมค-มอแรน ทะยานขึ้น 3.8%
หุ้นกลุ่มสายการบินยังคงถูกเทขายอย่างต่อเนื่อง โดยหุ้นยูไนเต็ด คอนติเนนตัล โฮลดิงส์ ร่วงลง 3% และหุ้นเดลตา แอร์ไลน์ ดิ่งลง 3.1%
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า จีดีพีไตรมาส 3 ปีนี้ ขยายตัว 2.1% เมื่อเทียบรายไตรมาส ซึ่งสูงกว่าตัวเลขประเมินก่อนหน้านี้ที่ระดับ 1.5% และสูงกว่าระดับ 0.6% ในไตรมาสแรก อันเป็นผลมาจากการทบทวนปรับเพิ่มตัวเลขสินค้าคงคลังในภาคเอกชน รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของการลงทุนในภาคการก่อสร้าง
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆที่มีการเปิดเผยล่าสุดนั้น สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์เปิดเผยผลสำรวจซึ่งระบุว่า ราคาบ้านในสหรัฐปรับตัวขึ้นในเดือนก.ย. เนื่องจากจากการที่ปริมาณบ้านที่เสนอขายในตลาดมีจำกัด ทำให้ผู้ซื้อต้องเสนอราคาเพิ่มขึ้น โดยดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐ เพิ่มขึ้น 4.9% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าระดับ 4.6% ในเดือนส.ค.
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนต.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเบื้องต้นเดือนพ.ย., ยอดขายบ้านใหม่เดือนต.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงท้ายเดือนพ.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน