ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (23 พ.ย.) เพราะได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่ของสหรัฐ หลังจากมีรายงานว่า ไฟเซอร์ทุ่มเงินมูลค่า 1.60 แสนล้านดอลลาร์เพื่อควบรวมกิจการกับบริษัท อัลเลอร์แกน พีแอลซี ของไอร์แลนด์ นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐยังส่งผลให้บรรยากาศการซื้อขายซบเซาลงด้วย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,792.68 จุด ลดลง 31.13 จุด หรือ -0.17% ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 5,102.48 จุด ลดลง 2.44 จุด หรือ -0.05% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 2,086.59 จุด ลดลง 2.58 จุด หรือ -0.12%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากหุ้นไฟเซอร์ อิงค์ ที่ร่วงลงไปกว่า 2.6% หลังจากไฟเซอร์ อิงค์ บริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่ของสหรัฐ และอัลเลอร์แกน พีแอลซี บริษัทผู้ผลิตโบท็อกซ์จากไอร์แลนด์ ประกาศบรรลุข้อตกลงควบรวมกิจการมูลค่า 1.60 แสนล้านดอลลาร์ในการก่อตั้งบริษัทเวชภัณฑ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ทั้งนี้ บริษัทแห่งใหม่ที่เกิดขึ้นจะเรียกว่า บริษัทไฟเซอร์ พีแอลซี โดยมีนายเอียน รีด ซีอีโอของไฟเซอร์ เป็นผู้นำบริษัท
ข่าวไฟเซอร์ควบรวมกิจการกับอัลเลอร์แกนส่งผลให้หุ้นอัลเลอร์แกนดิ่งลงกว่า 2% และยังก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากบรรดานักการเมือง โดยเฉพาะนางฮิลลารี คลินตัน ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในนามพรรคเดโมแครทซึ่งระบุว่า การควบรวมกิจการครั้งนี้ ไฟเซอร์มีจุดมุ่งหมายที่จะใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อหลบเลี่ยงภาษี และเธอจะพยายามทุกทางเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง โดยหุ้นแอปเปิล ดิ่งลง 1.3% หุ้นอิเล็กทรอนิก อาร์ทส์ ร่วงลง 4.8% หุ้นฮิวเล็ต-แพคการ์ด ร่วงลง 2.5% และหุ้นอนาล็อก ดีไวซ์ ดิ่งลง 4.4%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับปัจจัยลบจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ โดยสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองในเดือนต.ค.ร่วงลง 3.4% สู่ระดับ 5.36 ล้านยูนิต ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ายอดขายบ้านมือสองในเดือนต.ค.ลดลงสู่ระดับ 5.4 ล้านยูนิต
ด้านมาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นของสหรัฐอยู่ที่ระดับ 52.6 ในเดือนพ.ย. จากระดับ 54.1 ในเดือนต.ค. บ่งชี้ว่าภาคการผลิตของสหรัฐในเดือนพ.ย.มีการขยายตัวต่ำที่สุดในรอบ 2 ปีในเดือนพ.ย. และปรับตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
นักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีทกล่าวว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงได้รับแรงกดดันจากกระแสคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในเดือนหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานเฟด สาขานิวยอร์ก กล่าวว่า เฟดควรเตรียมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไม่ช้า
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ รวมถึงตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ของจีดีพีช่วงไตรมาส 3/2558, ราคาบ้านเดือนก.ย.จากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์, ชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย.จาก Conference Board และดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย.จากเฟดสาขาริชมอนด์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,792.68 จุด ลดลง 31.13 จุด หรือ -0.17% ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 5,102.48 จุด ลดลง 2.44 จุด หรือ -0.05% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 2,086.59 จุด ลดลง 2.58 จุด หรือ -0.12%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากหุ้นไฟเซอร์ อิงค์ ที่ร่วงลงไปกว่า 2.6% หลังจากไฟเซอร์ อิงค์ บริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่ของสหรัฐ และอัลเลอร์แกน พีแอลซี บริษัทผู้ผลิตโบท็อกซ์จากไอร์แลนด์ ประกาศบรรลุข้อตกลงควบรวมกิจการมูลค่า 1.60 แสนล้านดอลลาร์ในการก่อตั้งบริษัทเวชภัณฑ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ทั้งนี้ บริษัทแห่งใหม่ที่เกิดขึ้นจะเรียกว่า บริษัทไฟเซอร์ พีแอลซี โดยมีนายเอียน รีด ซีอีโอของไฟเซอร์ เป็นผู้นำบริษัท
ข่าวไฟเซอร์ควบรวมกิจการกับอัลเลอร์แกนส่งผลให้หุ้นอัลเลอร์แกนดิ่งลงกว่า 2% และยังก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากบรรดานักการเมือง โดยเฉพาะนางฮิลลารี คลินตัน ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในนามพรรคเดโมแครทซึ่งระบุว่า การควบรวมกิจการครั้งนี้ ไฟเซอร์มีจุดมุ่งหมายที่จะใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อหลบเลี่ยงภาษี และเธอจะพยายามทุกทางเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง โดยหุ้นแอปเปิล ดิ่งลง 1.3% หุ้นอิเล็กทรอนิก อาร์ทส์ ร่วงลง 4.8% หุ้นฮิวเล็ต-แพคการ์ด ร่วงลง 2.5% และหุ้นอนาล็อก ดีไวซ์ ดิ่งลง 4.4%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับปัจจัยลบจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ โดยสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองในเดือนต.ค.ร่วงลง 3.4% สู่ระดับ 5.36 ล้านยูนิต ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ายอดขายบ้านมือสองในเดือนต.ค.ลดลงสู่ระดับ 5.4 ล้านยูนิต
ด้านมาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นของสหรัฐอยู่ที่ระดับ 52.6 ในเดือนพ.ย. จากระดับ 54.1 ในเดือนต.ค. บ่งชี้ว่าภาคการผลิตของสหรัฐในเดือนพ.ย.มีการขยายตัวต่ำที่สุดในรอบ 2 ปีในเดือนพ.ย. และปรับตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
นักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีทกล่าวว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงได้รับแรงกดดันจากกระแสคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในเดือนหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานเฟด สาขานิวยอร์ก กล่าวว่า เฟดควรเตรียมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไม่ช้า
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ รวมถึงตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ของจีดีพีช่วงไตรมาส 3/2558, ราคาบ้านเดือนก.ย.จากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์, ชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย.จาก Conference Board และดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย.จากเฟดสาขาริชมอนด์