นายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย หรือ สภาผู้ส่งออกฯ ประเมินภาพรวมการส่งออกตลอดปีนี้ว่าน่าจะตกต่ำถึงก้นเหว โดยส่งออกจะหดตัวร้อยละ 5 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน มูลค่ารวม 216,150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนปี 2559 คาดว่าการส่งออกจะกลับมาฟื้นตัว โดยการส่งออกจะขยายตัวร้อยละ 2 มูลค่าส่งออกประมาณ 220,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากแรงหนุนนโยบายภาครัฐ เช่น การปฎิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทยและการปรับยุทธศาสตร์การค้าที่น่าจะเริ่มเห็นผลและผลจากเศรษฐกิจโลกโตร้อยละ 3.6 ตามที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ไว้
อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกไทยต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เริ่มบริบทใหม่ทางการค้าด้วยหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (ทีพีพี) ขณะที่ขีดความสามารถในการแข่งขันปัจจุบันอาจไม่เพียงพอหรือแข่งขันได้ในอนาคต
สำหรับปี 2559 ปัจจัยที่มีผลต่อการส่งออก คือ ภาวะเศรษฐกิจและการเงินโลกที่ผันผวน ทำให้เศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนาชะลอตัว เศรษฐกิจยุโรปและญี่ปุ่นฟื้นตัวช้า อาจต้องมีมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณหรือมาตรการคิวอีรอบใหม่ที่แรงกว่าเดิม ส่วนจีนต้องปรับยุทธศาสตร์แบบรอบด้านตลอดเวลา เพื่อรับมือกับความกดดันทางเศรษฐกิจและการเมืองทั้งภายในประเทศและภายนอก ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ถี่และรุนแรงขึ้น
อย่างไรก็ตาม สภาผู้ส่งออกฯ แนะแนวทางสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตภาคส่งออกที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน ประกอบด้วย ยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันให้เข้มแข็ง มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในเวทีการค้าโลกทุกด้าน พร้อมเป็นหุ้นส่วนการค้าที่ดีกับทุกประเทศและทุกกลุ่มระยะยาว และแสดงเจตจำนงอย่างชัดเจนที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกทีพีพี และควรมีบทบาทเป็นผู้นำในการให้อาเซียนรวมตัวกันอย่างเข้มแข็งและขยายความร่วมมือทางการค้าอย่างใกล้ชิดกับญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน อินเดีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ อาร์ซีอีพี ตลอดจนความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-สหภาพยุโรป (อียู) และกลุ่มความร่วมมืออื่น ๆ
ส่วนปี 2559 คาดว่าการส่งออกจะกลับมาฟื้นตัว โดยการส่งออกจะขยายตัวร้อยละ 2 มูลค่าส่งออกประมาณ 220,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากแรงหนุนนโยบายภาครัฐ เช่น การปฎิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทยและการปรับยุทธศาสตร์การค้าที่น่าจะเริ่มเห็นผลและผลจากเศรษฐกิจโลกโตร้อยละ 3.6 ตามที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ไว้
อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกไทยต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เริ่มบริบทใหม่ทางการค้าด้วยหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (ทีพีพี) ขณะที่ขีดความสามารถในการแข่งขันปัจจุบันอาจไม่เพียงพอหรือแข่งขันได้ในอนาคต
สำหรับปี 2559 ปัจจัยที่มีผลต่อการส่งออก คือ ภาวะเศรษฐกิจและการเงินโลกที่ผันผวน ทำให้เศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนาชะลอตัว เศรษฐกิจยุโรปและญี่ปุ่นฟื้นตัวช้า อาจต้องมีมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณหรือมาตรการคิวอีรอบใหม่ที่แรงกว่าเดิม ส่วนจีนต้องปรับยุทธศาสตร์แบบรอบด้านตลอดเวลา เพื่อรับมือกับความกดดันทางเศรษฐกิจและการเมืองทั้งภายในประเทศและภายนอก ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ถี่และรุนแรงขึ้น
อย่างไรก็ตาม สภาผู้ส่งออกฯ แนะแนวทางสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตภาคส่งออกที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน ประกอบด้วย ยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันให้เข้มแข็ง มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในเวทีการค้าโลกทุกด้าน พร้อมเป็นหุ้นส่วนการค้าที่ดีกับทุกประเทศและทุกกลุ่มระยะยาว และแสดงเจตจำนงอย่างชัดเจนที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกทีพีพี และควรมีบทบาทเป็นผู้นำในการให้อาเซียนรวมตัวกันอย่างเข้มแข็งและขยายความร่วมมือทางการค้าอย่างใกล้ชิดกับญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน อินเดีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ อาร์ซีอีพี ตลอดจนความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-สหภาพยุโรป (อียู) และกลุ่มความร่วมมืออื่น ๆ
