นายวโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวในการสัมมนาปัจจัยเศรษฐกิจ และการลงทุนภาครัฐที่มีผลต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์มีสัดส่วนสำคัญ และมีการขยายตัวที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจไทย โดยปัจจัยที่มีผลต่อการเติบโตภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มมากขึ้น กระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ซึ่งขณะนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำลังติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากปัจจุบันอยู่ภาวะหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ร้อยละ 80 ของ GDP ทำให้การก่อหนี้ใหม่สำหรับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ยากขึ้น ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมลดลง เป็นปัจจัยบวกต่อการบริโภค สนับสนุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษเป็นปัจจัยบวกต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ และนโยบายภาครัฐอื่นๆ ที่มีผลต่อธุรกิจ เช่น การแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ โดยบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย เพื่อเสริมสภาพคล่องในตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัย การส่งเสริมสภาพคล่องผ่านทรัสต์ เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
พร้อมกันนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างศึกษาผลิตภัณฑ์ทางการเงิน สำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต ได้แก่ การประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัยซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงด้านเครดิตให้สถาบันการเงิน อีกทั้งผู้ขอสินเชื่อจะได้รับวงเงินสินเชื่อเพิ่มขึ้น และโครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ โดยผู้ขอสินเชื่อนำที่อยู่อาศัยไปจดจำนองไว้กับธนาคาร และธนาคารจะจ่ายเงินให้ผู้กู้เป็นงวด
นอกจากนี้ นายวโรทัย กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ สศค. จะแถลงภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือน ก.ย. 2558 และประมาณการเศรษฐกิจไทย โดยเบื้องต้นเตรียมปรับประมาณการ GDP ในปีนี้ลงเหลือร้อยละ 2.8 จากเดิมที่ร้อยละ 3
พร้อมกันนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างศึกษาผลิตภัณฑ์ทางการเงิน สำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต ได้แก่ การประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัยซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงด้านเครดิตให้สถาบันการเงิน อีกทั้งผู้ขอสินเชื่อจะได้รับวงเงินสินเชื่อเพิ่มขึ้น และโครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ โดยผู้ขอสินเชื่อนำที่อยู่อาศัยไปจดจำนองไว้กับธนาคาร และธนาคารจะจ่ายเงินให้ผู้กู้เป็นงวด
นอกจากนี้ นายวโรทัย กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ สศค. จะแถลงภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือน ก.ย. 2558 และประมาณการเศรษฐกิจไทย โดยเบื้องต้นเตรียมปรับประมาณการ GDP ในปีนี้ลงเหลือร้อยละ 2.8 จากเดิมที่ร้อยละ 3