xs
xsm
sm
md
lg

“จาร์ตัน” แจงปี 60 ลุยปั้นแบรนด์เน้นโครงการรัฐเหตุเอกชนชะลอตัว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ธีธัช  จึงกานต์กุล
“จาร์ตัน” เผยแผนปี 60 เร่งสร้างแบรนด์ ลุยเพิ่มดีลเลอร์ ตจว. บุกโมเดิร์นเทรด ลด OEM ขยายตลาดส่งออก เน้นเพิ่มงานโครงการภาครัฐ หลังตลาดอสังหาฯ ชะลอตัว ตั้งเป้าปี 60 ยอดขาย 500-600 ล้านบาทเติบโตจากปีก่อนหน้า 15-20% ตรียมเปิดตัวสินค้านวัตกรรมเพื่อความสะดวก และปลอดภัย สำหรับที่อยู่อาศัย และอาคารในงานสถาปนิก’60 ชูจุดเด่นอุปกรณ์ล็อกประตูที่ทันสมัยทั้งการออกแบบ และใช้เทคโนโลยีจากต่างประเทศ รวมทั้งเปิดตัวสินค้านวัตกรรมสำหรับผู้สูงอายุ และผู้พิการ นอกจากนี้แล้ว ยังเน้นบริการให้คำปรึกษาด้านการออกแบบ และติดตั้งระบบประตูหน้าต่างอลูมิเนียมครบวงจร เจาะกลุ่มสถาปนิก เจ้าของโครงการ ผู้รับเหมา และเจ้าของบ้าน

นายธีธัช จึงกานต์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท จาร์ตัน กรุ๊ป จำกัด (JARTON) ผู้ผลิตอุปกรณ์ และติดตั้งระบบประตู และหน้าต่างครบวงจร กล่าวว่า “จาร์ตั้น” ทำตลาดมานานกว่า 40 ปี แต่ในช่วงแรกขาดการสร้างแบรนด์ทำให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้บริโภคไม่มาก แต่กลับเป็นที่รู้จัก และได้รับการยอมรับ รวมถึงนิยมใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้าง และอสังหาฯ อย่างกว้างขวาง ดังนั้น ในช่วงที่ผ่านมา จาร์ตัน จึงเริ่มทำตลาด และสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รับรู้ในกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น พร้อมๆ กับการเปิดโชว์รูมในโมเดิร์นเทรด และการขยายตัวแทนจำหน่ายในต่างจังหวัด ขณะเดียวกัน ก็ผลิต และส่งออกในแบรนด์ของตนเองมากขึ้น และลดการรับจ้างผลิต หรือ OEM ลง โดยในปัจจุบันเหลือลูกค้าในประเทศเพียงรายเดียวที่บริษัทยัง OEM ให้ คือ SCG

ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา จาร์ตัน มียอดขายที่ประมาณ 400-500 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากการส่งออก 35-40% โดยตลาดหลักๆ ยังคงเป็นกลุ่มประเทศอาเซียน อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา จาร์ตันมีการเปิดตลาดส่งออกใหม่ๆ เพิ่มขึ้นทั้งในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง กลุ่มประเทศยุโรป และสหรัฐอเมริกา ส่วนยอดขายอีก 60% เป็นยอดขายในประเทศ แบ่งออกเป็นการขายผ่านดีลเลอร์ หรือตัวแทนจำหน่าย และ OEM 30% และขายผ่านโครงการอีก 30%

“สำหรับการขายผ่านโครงการนั้น จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1.การขายผ่านโครงการภาครัฐ ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 40% และอีกส่วนเป็นการขายผ่านโครงการเอกชน โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 60% โดยกลุ่มลูกค้าที่โครงการอสังหาฯ ที่นิยมใช้สินค้าของจาร์ตัน จะเป็นกลุ่มโครงการคอนโด โรงแรม ส่วนกลุ่มโครงการบ้านมีไม่มากนัก”

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทมีแผนจะขยายงานในส่วนของโครงการภาครัฐให้มากขึ้น เนื่องจากตลาดที่อยู่อาศัยมีทิศทางการขยายตัวลดลง และยังชะลอตัวอยู่ ขณะที่โครงการภาครัฐมีออกมาอย่างต่อนเอง และเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่ สำหรับการแข่งขันในกลุ่มผลิตภัณฑ์ ระบบประตู และหน้าต่างนั้น มีการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะในส่วนของการขายปลีก ส่วนการขายในตลาดโมเดิร์นเทรดนั้น ยังมีการแข่งขันที่น้อยกว่า

นายธีธัช กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าว่า จะมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 500-600 ล้านบาท หรือเติบโตจากปีที่แล้ว 15-20% โดยยอดขายที่เติบโตขึ้นจะมาจากการวางจำหน่ายสินค้าในกลุ่มใหม่ๆ คือ สินค้าแบรนด์ SCHLAGE SENSE กุญแจดิจิตอลที่ผู้ใช้สามารถสั่งงานผ่านโทรศัพท์ iPhone และแบรนด์ SCHLAGE SEL300 กุญแจดิจิตอลรุ่นแรกที่สามารถใช้กับการ์ดรุ่นใหม่ได้ครบทุกประเภท เช่น บัตร Visa payWave, บัตร Rabbit, บัตรรถไฟฟ้าใต้ดิน, บัตร7-11, บัตร MIFARE ทั่วไป

นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์เกี่ยวกับระบบล็อกประตูที่มีนวัตกรรมใหม่จากประเทศอิตาลี เช่น ระบบตลับกุญแจแม่เหล็ก ที่ทำให้การเปิดปิดประตูไม่มีเสียงดังรบกวนผู้อยู่อาศัย นอกจากนี้ สินค้าแต่ละประเภทยังมีจุดเด่นที่หลากหลายสามารถเลือกใช้งานได้ตามความต้องการของผู้อยู่อาศัย เช่น ระบบล็อกประตูโดยใช้รหัสส่วนตัว การใช้การ์ด หรือลายนิ้วมือร่วมกับรหัส หรือใช้รหัสอย่างเดียว รวมทั้งการใช้กุญแจ รีโมตคอนโทรล และการล็อกผ่านการใช้ Bluetooth ที่รองรับทั้งระบบ iOS และ Android

นายธีธัช กล่าวต่อว่า นอกจากอุปกรณ์ และระบบล็อกบานประตูแล้วในงานนี้ JARTON ยังเปิดบริการให้คำปรึกษาด้านการออกแบบ วางระบบ และติดตั้งอุปกรณ์ครบวงจร โดยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญระบบควบคุมการเข้าออกอัตโนมัติ (Access Control System) อาทิ ไม้กั้นที่จอดรถ เครื่องอ่านการ์ด อุปกรณ์ล็อกอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทั้งที่อยู่อาศัยให้เช่า หมู่บ้านจัดสรร และคอนโดมิเนียมที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งในกรุงเทพมหานคร และหัวเมืองใหญ่ในภูมิภาคต่างๆ รวมทั้งการก่อสร้างอาคารของภาครัฐที่ต้องการความทันสมัย และความปลอดภัยมากขึ้น

ในงานสถาปนิก’60 นี้ บริษัทฯ ยังเปิดตัวสินค้านวัตกรรมที่เป็นอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้สูงอายุ และผู้พิการ สำหรับการใช้ในห้องน้ำ และห้องทั่วไป รวมทั้งสินค้าประเภทโช๊กอัปฝังพื้น แบบไม่ต้องสกัดพื้น ซึ่งเป็นนวัตกรรมการผลิตจากประเทศญี่ปุ่น ที่ทำจากสเตนเลสแท้ นอกจากนี้ ยังนำเสนอบริการออกแบบติดตั้งอลูมิเนียม และผนังอาคารครบวงจร โดยเลือกใช้อุปกรณ์อลูมิเนียมที่ผสานเทคโนโลยีมาตรฐานอุตสาหกรรมจากประเทศเกาหลี จึงมั่นใจได้ว่า ความทันสมัยของนวัตกรรม และเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายในการอยู่อาศัยที่นำมาโชว์ในงานสถาปนิก’60 ปีนี้ จะได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้บริโภค รวมทั้งกลุ่มสถาปนิก นักออกแบบ เจ้าของโครงการ และผู้รับเหมาได้เป็นอย่างดี
 


กำลังโหลดความคิดเห็น