ญี่ปุ่นรำลึกครบรอบ 70 ปีระเบิดปรมาณูถล่มใส่เมืองฮิโรชิมาเมื่อวันพฤหัสบดี (6ส.ค.) พร้อมประกาศจุดยืนเรียกร้องให้โลกยุติการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ ขณะที่ผู้รอดชีวิตและประชาชนจำนวนมากยังต้องการให้รัฐบาลอาเบะล้มเลิกแผนการเพิ่มบทบาทกองทัพ ในอีกด้านหนึ่งหนังสือพิมพ์ที่เป็นกระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน กล่าวหาญี่ปุ่นสร้างภาพตัวเองเป็นเหยื่อระเบิดปรมาณู โดยไม่ยอมพูดถึงการรุกรานอันเหี้ยมโหดของตนเองในช่วงสงคราม ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้ฮิโรชิมาและนางาซากิถูกถล่ม
ผู้คนหลายหมื่นคน ซึ่งมีทั้งเด็กๆ ผู้รอดชีวิตที่อยู่ในวัยชรา และตัวแทนจาก 100 ประเทศ ยืนสงบนิ่งหน้าอนุสาวรีย์ในสวนสันติภาพฮิโรชิมา เมื่อเวลา 8.15 น. วันพฤหัสบดี (6) ตามเวลาท้องถิ่นของญี่ปุ่น ตรงกับเวลาที่เครื่องบินทิ้งระเบิดบี-29 “อีโนลา เกย์” ของอเมริกา ทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกซึ่งมีสมญาว่า “ลิตเติ้ล บอย” ใส่เมืองฮิโรชิมา ในวันที่ 6 สิงหาคม 1945 จนทั้งเมืองกลายเป็นทะเลเพลิงและแผ่รังสีมรณะไปทั่ว สังหารชีวิตคนนับหมื่นในทันที และมีผู้บาดเจ็บร้ายแรงค่อยๆ ตายอย่างช้าๆ อีกมากมาย โดย ณ สิ้นปีนั้น มีผู้เสียชีวิตถึง 140,000 ราย
เหตุการณ์นี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของบทส่งท้ายสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยถัดมาอีก 3 วัน อเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูลูกที่ 2 “แฟ็ต แมน” ถล่มเมืองท่านางาซากิ ทำให้มีผู้เสียชีวิตทันทีราว 40,000 คน จากนั้นญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ในวันที่ 15 สิงหาคม 1945 ซึ่งถือเป็นจุดสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2
นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ แถลงต่อหน้าฝูงชนที่ร่วมพิธีรำลึกว่า ในฐานะที่เป็นประเทศเดียวที่เคยถูกโจมตีด้วยระเบิดปรมาณู ญี่ปุ่นจึงมีหน้าที่ในการสร้างโลกที่ปราศจากอาวุธนิวเคลียร์ และเสริมว่า โตเกียวมีแผนยื่นญัตติยกเลิกอาวุธนิวเคลียร์ต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ปลายปีนี้
ทั้งนี้ตลอดหลายสิบปีมานี้ ญี่ปุ่นมักชอบประโคมเล่าเรื่องว่า ตัวเองเป็นเหยื่อของสงครามและเป็นเหยื่อของพวกผู้สนับสนุนลัทธิการขยายดินแดนอันนำไปสู่สงครามในแปซิฟิก ท่ามกลางความรู้สึกขัดแย้งและต่อต้านชิงชังของจีนและเกาหลีที่ตกเป็นเหยื่อความโหดร้ายของกองทัพลูกพระอาทิตย์
โกลบัล ไทมส์ หนังสือพิมพ์ในเครือเหรินหมินรึเป้า กระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในวันพฤหัสบดี (6) ได้ตีพิมพ์บทบรรณาธิการซึ่งระบุว่า เป็นเรื่องเข้าใจได้ที่ญี่ปุ่นจะทำพิธีรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 70 ปีก่อน แต่สิ่งที่ยอมรับไม่ได้คือ ญี่ปุ่นฉายภาพด้านเดียวว่า ตนเป็นเหยื่อระเบิดปรมาณู แต่กลับละเลยที่จะกล่าวถึงการก่ออาชญากรรมของตนเองอันเป็นสาเหตุของเหตุการณ์นั้น
บทบรรณาธิการยังวิจารณ์อาเบะว่า ต้องการรื้อฟื้นสถานะปกติให้แก่กองทัพญี่ปุ่น โดยที่ไม่ทบทวนการก่ออาชญากรรมสงครามในอดีตอย่างถ่องแท้
ผู้คนหลายหมื่นคน ซึ่งมีทั้งเด็กๆ ผู้รอดชีวิตที่อยู่ในวัยชรา และตัวแทนจาก 100 ประเทศ ยืนสงบนิ่งหน้าอนุสาวรีย์ในสวนสันติภาพฮิโรชิมา เมื่อเวลา 8.15 น. วันพฤหัสบดี (6) ตามเวลาท้องถิ่นของญี่ปุ่น ตรงกับเวลาที่เครื่องบินทิ้งระเบิดบี-29 “อีโนลา เกย์” ของอเมริกา ทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกซึ่งมีสมญาว่า “ลิตเติ้ล บอย” ใส่เมืองฮิโรชิมา ในวันที่ 6 สิงหาคม 1945 จนทั้งเมืองกลายเป็นทะเลเพลิงและแผ่รังสีมรณะไปทั่ว สังหารชีวิตคนนับหมื่นในทันที และมีผู้บาดเจ็บร้ายแรงค่อยๆ ตายอย่างช้าๆ อีกมากมาย โดย ณ สิ้นปีนั้น มีผู้เสียชีวิตถึง 140,000 ราย
เหตุการณ์นี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของบทส่งท้ายสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยถัดมาอีก 3 วัน อเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูลูกที่ 2 “แฟ็ต แมน” ถล่มเมืองท่านางาซากิ ทำให้มีผู้เสียชีวิตทันทีราว 40,000 คน จากนั้นญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ในวันที่ 15 สิงหาคม 1945 ซึ่งถือเป็นจุดสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2
นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ แถลงต่อหน้าฝูงชนที่ร่วมพิธีรำลึกว่า ในฐานะที่เป็นประเทศเดียวที่เคยถูกโจมตีด้วยระเบิดปรมาณู ญี่ปุ่นจึงมีหน้าที่ในการสร้างโลกที่ปราศจากอาวุธนิวเคลียร์ และเสริมว่า โตเกียวมีแผนยื่นญัตติยกเลิกอาวุธนิวเคลียร์ต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ปลายปีนี้
ทั้งนี้ตลอดหลายสิบปีมานี้ ญี่ปุ่นมักชอบประโคมเล่าเรื่องว่า ตัวเองเป็นเหยื่อของสงครามและเป็นเหยื่อของพวกผู้สนับสนุนลัทธิการขยายดินแดนอันนำไปสู่สงครามในแปซิฟิก ท่ามกลางความรู้สึกขัดแย้งและต่อต้านชิงชังของจีนและเกาหลีที่ตกเป็นเหยื่อความโหดร้ายของกองทัพลูกพระอาทิตย์
โกลบัล ไทมส์ หนังสือพิมพ์ในเครือเหรินหมินรึเป้า กระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในวันพฤหัสบดี (6) ได้ตีพิมพ์บทบรรณาธิการซึ่งระบุว่า เป็นเรื่องเข้าใจได้ที่ญี่ปุ่นจะทำพิธีรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 70 ปีก่อน แต่สิ่งที่ยอมรับไม่ได้คือ ญี่ปุ่นฉายภาพด้านเดียวว่า ตนเป็นเหยื่อระเบิดปรมาณู แต่กลับละเลยที่จะกล่าวถึงการก่ออาชญากรรมของตนเองอันเป็นสาเหตุของเหตุการณ์นั้น
บทบรรณาธิการยังวิจารณ์อาเบะว่า ต้องการรื้อฟื้นสถานะปกติให้แก่กองทัพญี่ปุ่น โดยที่ไม่ทบทวนการก่ออาชญากรรมสงครามในอดีตอย่างถ่องแท้