นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ที่ว่าความให้กับนักศึกษาทั้ง 14 คน และนายชำนาญ จันทร์เรือง ประธานแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย พร้อมญาตินักศึกษาทั้ง 14 คนที่ถูกคุมขัง รวมกว่า 50 คน ได้เข้าเยี่ยมให้กำลังใจกลุ่มนักศึกษา
หลังจากเข้าเยี่ยมนักศึกษานายกฤษฎางค์ เปิดเผยว่า นักศึกษาทั้ง 14 คน ยังมีกำลังใจและยังเข้มแข็ง มีบางคนที่ป่วยหรือได้รับบาดเจ็บจากการชุมนุม เช่น น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือลูกเกด นักศึกษาหญิงที่โดนเครื่องช็อตไฟฟ้าที่หลัง แต่ทุกคนยังยืนยันจะสู้ต่อไป ทั้งนี้ นักศึกษาฝากมาบอกว่า ยังสู้ต่อไปตามความคิดเห็นเดิมว่า ประเทศไทยต้องปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ซึ่งอำนาจสูงสุดต้องเป็นของประชาชนและขอปฏิเสธไม่รับอำนาจศาลทหารกรุงเทพที่จะดำเนินคดีนี้ เพราะคิดว่าเป็นพลเรือน จึงต้องขึ้นศาลพลเรือนเท่านั้น ซึ่งเป็นเหตุผลว่า ทำไมจึงไม่ประกันตัวออกไปสู้คดี
“เด็กทั้ง 14 คนฝากผมมาแจ้งว่า เหตุที่ไม่ประกันตัวเพราะไม่รับอำนาจศาลทหาร ทุกวันนี้ถูกขังอยู่ภายใต้อำนาจของศาลทหารกรุงเทพ จึงยืนยันว่า ถ้าขอประกันตัวต่อศาลทหารกรุงเทพ ยืนยันว่าจะไม่ทำโดยเด็ดขาดและยินยอมเสียสละเสรีภาพของตัวเองเพราะเชื่อว่าเมื่ออยู่ข้างนอกก็ไม่มีเสรีภาพอยู่แล้ว อยู่ข้างในการต่อสู้ของพวกเขาจะได้อธิบายต่อประชาชนว่า การถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพเป็นอย่างไรและขอยืนยันจนวินาทีนี้ว่าจะไม่ประกันตัว” นายกฤษฎางค์ กล่าว
นอกจากนี้นักศึกษายังฝากแถลงว่า จะร้องต่อศาลทหารกรุงเทพในวันที่มีการฝากขังให้เปิดการพิจารณาคดีนี้โดยเปิดเผยต่อสาธารณะชน เพราะไม่มีอะไรเป็นความลับ เพื่อให้สาธารณะชนเข้าฟังได้และกรณีนี้ให้แจ้งทุกคนว่า หากมีการฝากขังครั้งหน้า นักศึกษาทุกคนยืนยันว่า จะต้องพิจารณาคดีโดยเปิดเผย หากยังปิดลับอยู่ นักศึกษาจะมีมาตรการต่อไป
“ขอฝากคำพูดเด็กไปยังผู้มีอำนาจว่า พ่อแม่เขาไม่เกี่ยว ที่มีทหารไปพบพ่อแม่ของเด็กหลายคน เช่น แม่ของลูกเกด ที่มาร้องเรียนกับผมว่า มีทหารไปคุยด้วย และเกิดความกลัวจะได้รับอันตราย ทั้งเด็กก็ห่วงแม่ จึงฝากบอกสื่อว่า อย่าดึงพ่อแม่มาเกี่ยว เพราะครอบครัวเลี้ยงเขามา อบรมให้การศึกษา แต่ไม่เกี่ยวพันกับการเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย” นายกฤษฎางค์ กล่าว
หลังจากเข้าเยี่ยมนักศึกษานายกฤษฎางค์ เปิดเผยว่า นักศึกษาทั้ง 14 คน ยังมีกำลังใจและยังเข้มแข็ง มีบางคนที่ป่วยหรือได้รับบาดเจ็บจากการชุมนุม เช่น น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือลูกเกด นักศึกษาหญิงที่โดนเครื่องช็อตไฟฟ้าที่หลัง แต่ทุกคนยังยืนยันจะสู้ต่อไป ทั้งนี้ นักศึกษาฝากมาบอกว่า ยังสู้ต่อไปตามความคิดเห็นเดิมว่า ประเทศไทยต้องปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ซึ่งอำนาจสูงสุดต้องเป็นของประชาชนและขอปฏิเสธไม่รับอำนาจศาลทหารกรุงเทพที่จะดำเนินคดีนี้ เพราะคิดว่าเป็นพลเรือน จึงต้องขึ้นศาลพลเรือนเท่านั้น ซึ่งเป็นเหตุผลว่า ทำไมจึงไม่ประกันตัวออกไปสู้คดี
“เด็กทั้ง 14 คนฝากผมมาแจ้งว่า เหตุที่ไม่ประกันตัวเพราะไม่รับอำนาจศาลทหาร ทุกวันนี้ถูกขังอยู่ภายใต้อำนาจของศาลทหารกรุงเทพ จึงยืนยันว่า ถ้าขอประกันตัวต่อศาลทหารกรุงเทพ ยืนยันว่าจะไม่ทำโดยเด็ดขาดและยินยอมเสียสละเสรีภาพของตัวเองเพราะเชื่อว่าเมื่ออยู่ข้างนอกก็ไม่มีเสรีภาพอยู่แล้ว อยู่ข้างในการต่อสู้ของพวกเขาจะได้อธิบายต่อประชาชนว่า การถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพเป็นอย่างไรและขอยืนยันจนวินาทีนี้ว่าจะไม่ประกันตัว” นายกฤษฎางค์ กล่าว
นอกจากนี้นักศึกษายังฝากแถลงว่า จะร้องต่อศาลทหารกรุงเทพในวันที่มีการฝากขังให้เปิดการพิจารณาคดีนี้โดยเปิดเผยต่อสาธารณะชน เพราะไม่มีอะไรเป็นความลับ เพื่อให้สาธารณะชนเข้าฟังได้และกรณีนี้ให้แจ้งทุกคนว่า หากมีการฝากขังครั้งหน้า นักศึกษาทุกคนยืนยันว่า จะต้องพิจารณาคดีโดยเปิดเผย หากยังปิดลับอยู่ นักศึกษาจะมีมาตรการต่อไป
“ขอฝากคำพูดเด็กไปยังผู้มีอำนาจว่า พ่อแม่เขาไม่เกี่ยว ที่มีทหารไปพบพ่อแม่ของเด็กหลายคน เช่น แม่ของลูกเกด ที่มาร้องเรียนกับผมว่า มีทหารไปคุยด้วย และเกิดความกลัวจะได้รับอันตราย ทั้งเด็กก็ห่วงแม่ จึงฝากบอกสื่อว่า อย่าดึงพ่อแม่มาเกี่ยว เพราะครอบครัวเลี้ยงเขามา อบรมให้การศึกษา แต่ไม่เกี่ยวพันกับการเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย” นายกฤษฎางค์ กล่าว