นายกฤษศญพงษ์ ศิริ อธิบดีกรมการศาสนา (ศน.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาการลงทะเบียนผู้ประสงค์จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ประจำปี 2558 ว่า ที่ประชุมได้รับทราบข้อมูลการจัดเที่ยวบินขนส่งผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ว่ามี 2 รูปแบบ คือ เที่ยวบินเหมาลำของการบินไทยตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เส้นทางนราธิวาส-มะดีนะห์ 11 เที่ยวบิน เพื่อรองรับผู้แสวงบุญ 3,179 คน เที่ยวบินปกติจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 11 สายการบิน และ จากท่าอากาศยานภูเก็ต 4 สายการบิน ซึ่งขณะนี้ผู้ประกอบกิจการฮัจย์ได้สำรองที่นั่งบัตรโดยสารเรียบร้อยแล้ว จำนวน 3,423 คน และอยู่ระหว่างดำเนินการ 6,977 คน สำหรับการจัดเช่าที่พักสำหรับผู้เดินทางไปฮัจย์ ศน.ได้แจ้งให้ผู้ประกอบกิจการฮัจย์ดำเนินการเช่าที่พักให้เสร็จภายในวันที่ 10 มิ.ย.นี้
ทั้งนี้ที่ประชุมได้เชิญผู้แทนจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มาร่วมหารือเรื่องการป้องกันโรคเมอร์ส โควี แก่ผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย เนื่องจากพบว่าแหล่งที่แพร่เชื้อไวรัสนี้อยู่ในประเทศตะวันออกกลางเป็นหลัก ซึ่งรวมถึงประเทศซาอุดิอาระเบีย ที่ผู้ที่แสวงบุญชาวไทยจะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ในช่วงกลางเดือนสิงหาคมนี้ด้วย โดย ศน.ได้ส่งรายชื่อผู้ที่จะเดินทาง 10,400 คนให้กรมควบคุมโรค สธ.ฉีดวัคซีนป้องกันโรค และติดตามเฝ้าระวังการป้องกันโรคหลังเดินทางกลับเป็นเวลา 14 วันด้วย
“ ศน.และ สธ.จะร่วมเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนก โดย ศน.จะทำหนังสือกำชับและกวดขันถึงผู้ประกอบกิจการพิธีฮัจย์ให้มีการฉีดวัคซีนให้ครบ 10,400 คน ตามรายชื่อที่แจ้งไว้ และหากมีผู้เดินทางขอยกเลิกการเดินทางจากเหตุสุดวิสัยต้องเปลี่ยนคนเดินทางจะต้องฉีดวัคซีนใหม่ ทั้งนี้ในกรณีที่มีรายงานว่าในพื้นที่ภาคใต้พบความล่าช้าในการฉีดวัคซีนบางจังหวัดนั้น ได้แจ้ง สธ.ให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 3 วัน ”อธิบดี ศน.กล่าว
ด้าน นายอับดุลฮาลิม มินซาร์ ผู้อำนวยการสำนักประสานนโยบายทางการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนใต้ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีผู้แสวงบุญฮัจย์บางส่วนไม่ประสงค์ฉีดวัคซีน และเสียชีวิตที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเมื่อชันสูตรศพและตรวจผลเลือดก็พบว่าไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่นตามที่กำหนดไว้ แต่ในใบรับรองแพทย์หรือสมุดสีเหลืองกลับมีประวัติการฉีดวัคซีน แสดงว่าเอกสารใบรับรองแพทย์เป็นเอกสารปลอม ดังนั้น อยากให้ ศน.และ สธ. ได้ปรับมาตรการตรวจสอบการฉีดวัคซีนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และช่วยตรวจสอบข้อมูลผู้เดินทางกับผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นซ้ำได้อีก
ทั้งนี้ที่ประชุมได้เชิญผู้แทนจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มาร่วมหารือเรื่องการป้องกันโรคเมอร์ส โควี แก่ผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย เนื่องจากพบว่าแหล่งที่แพร่เชื้อไวรัสนี้อยู่ในประเทศตะวันออกกลางเป็นหลัก ซึ่งรวมถึงประเทศซาอุดิอาระเบีย ที่ผู้ที่แสวงบุญชาวไทยจะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ในช่วงกลางเดือนสิงหาคมนี้ด้วย โดย ศน.ได้ส่งรายชื่อผู้ที่จะเดินทาง 10,400 คนให้กรมควบคุมโรค สธ.ฉีดวัคซีนป้องกันโรค และติดตามเฝ้าระวังการป้องกันโรคหลังเดินทางกลับเป็นเวลา 14 วันด้วย
“ ศน.และ สธ.จะร่วมเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนก โดย ศน.จะทำหนังสือกำชับและกวดขันถึงผู้ประกอบกิจการพิธีฮัจย์ให้มีการฉีดวัคซีนให้ครบ 10,400 คน ตามรายชื่อที่แจ้งไว้ และหากมีผู้เดินทางขอยกเลิกการเดินทางจากเหตุสุดวิสัยต้องเปลี่ยนคนเดินทางจะต้องฉีดวัคซีนใหม่ ทั้งนี้ในกรณีที่มีรายงานว่าในพื้นที่ภาคใต้พบความล่าช้าในการฉีดวัคซีนบางจังหวัดนั้น ได้แจ้ง สธ.ให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 3 วัน ”อธิบดี ศน.กล่าว
ด้าน นายอับดุลฮาลิม มินซาร์ ผู้อำนวยการสำนักประสานนโยบายทางการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนใต้ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีผู้แสวงบุญฮัจย์บางส่วนไม่ประสงค์ฉีดวัคซีน และเสียชีวิตที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเมื่อชันสูตรศพและตรวจผลเลือดก็พบว่าไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่นตามที่กำหนดไว้ แต่ในใบรับรองแพทย์หรือสมุดสีเหลืองกลับมีประวัติการฉีดวัคซีน แสดงว่าเอกสารใบรับรองแพทย์เป็นเอกสารปลอม ดังนั้น อยากให้ ศน.และ สธ. ได้ปรับมาตรการตรวจสอบการฉีดวัคซีนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และช่วยตรวจสอบข้อมูลผู้เดินทางกับผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นซ้ำได้อีก