พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยผลการเยือนสาธารณรัฐสิงค์โปร์อย่างเป็นทางการของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระหว่างวันที่ 21-23 พฤษภาคม ว่า พล.อ.ประวิตร ได้เข้าเยี่ยมและหารือกับนาย อึ้ง เอง เฮน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสิงคโปร์ ซึ่งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันที่จะยกระดับความร่วมมือทางทหารของทั้งสองประเทศ ทั้งด้านการฝึก ศึกษา และด้านอื่นๆ พร้อมทั้งหารือเรื่องความร่วมมือลาดตระเวนในช่องแคบมะละกา เพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความปลอดภัยให้กับเส้นทางคมนาคมทางทะเลของภูมิภาค
โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวอีกว่า ในโอกาสนี้ พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวขอบคุณกระทรวงกลาโหมสิงคโปร์ ที่จัดอากาศยานมาช่วยเหลือการแก้ปัญหาไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือของไทยที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ได้แจ้งถึงความคืบหน้าของการดำเนินการตามโรดแมปของรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในปัจจุบัน
จากนั้น พล.อ.ประวิตร และคณะ ได้เยี่ยมคำนับนาย ลี เซียน ลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ณ ทำเนียบนายกรัฐมนตรี โดยได้ยืนยันถึงความสัมพันธ์ทางการทูตของทั้งสองประเทศที่มีมาครบ 50 ปี ในปี 2558
ขณะที่นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ กล่าวว่า ได้ติดตามสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงภายในของประเทศไทยมาโดยตลอดด้วยความเป็นห่วงฉันท์มิตร ซึ่งไทยถือเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ทุกประเทศต่างมีประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ โครงสร้างทางสังคมและประชาชนที่มีทัศนคติแตกต่างกัน จึงมีความจำเป็นต้องพยายามให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้ ซึ่งสิงคโปร์ก็เช่นกัน
ทั้งนี้ ประเทศไทยอยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ หวังว่าประเทศไทยจะมีพัฒนาการในรูปแบบการปกครองที่เหมาะสมกับสภาพทางสังคมไทย และมีทางออกสำหรับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยความร่วมมือกันของทุกคนในชาติที่ยึดเอาผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง ขอเป็นกำลังใจให้กับความตั้งใจจริงของรัฐบาลปัจจุบัน
โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวอีกว่า ในโอกาสนี้ พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวขอบคุณกระทรวงกลาโหมสิงคโปร์ ที่จัดอากาศยานมาช่วยเหลือการแก้ปัญหาไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือของไทยที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ได้แจ้งถึงความคืบหน้าของการดำเนินการตามโรดแมปของรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในปัจจุบัน
จากนั้น พล.อ.ประวิตร และคณะ ได้เยี่ยมคำนับนาย ลี เซียน ลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ณ ทำเนียบนายกรัฐมนตรี โดยได้ยืนยันถึงความสัมพันธ์ทางการทูตของทั้งสองประเทศที่มีมาครบ 50 ปี ในปี 2558
ขณะที่นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ กล่าวว่า ได้ติดตามสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงภายในของประเทศไทยมาโดยตลอดด้วยความเป็นห่วงฉันท์มิตร ซึ่งไทยถือเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ทุกประเทศต่างมีประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ โครงสร้างทางสังคมและประชาชนที่มีทัศนคติแตกต่างกัน จึงมีความจำเป็นต้องพยายามให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้ ซึ่งสิงคโปร์ก็เช่นกัน
ทั้งนี้ ประเทศไทยอยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ หวังว่าประเทศไทยจะมีพัฒนาการในรูปแบบการปกครองที่เหมาะสมกับสภาพทางสังคมไทย และมีทางออกสำหรับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยความร่วมมือกันของทุกคนในชาติที่ยึดเอาผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง ขอเป็นกำลังใจให้กับความตั้งใจจริงของรัฐบาลปัจจุบัน
