ศาสตราจารย์นายแพทย์รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์ริชชาร์ด บราวน์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย นายแพทย์วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ศาสตราจารย์คลินิก แพทย์หญิง วิบูลพรรณ ฐิตะดิลก ประธานราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย และศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์สมศักดิ์ โล่ห์เลขา ประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ร่วมแถลงข่าว ารรณรงค์ให้วัคซีนรวมป้องกันโรคหัด-หัดเยอรมัน แก่เด็กอายุ 2 ปี 6 เดือน-7 ปี และวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลประจำปี 2558 เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคแก่ผู้ที่เสี่ยงต่อการป่วยและมีอาการรุนแรงหลังติดเชื้อ
ศาสตราจารย์นายแพทย์รัชตะ กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้จัดรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรค 2 ชนิด ให้ประชาชน เพื่อลดปัญหาการเจ็บป่วย ลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ และลดความเสี่ยงอันตรายหลังติดเชื้อ ได้แก่ วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เนื่องจากขณะนี้ย่างเข้าสู่ฤดูฝน ซึ่งเป็นฤดูกาลที่พบโรคนี้สูงที่สุด และโรคนี้ติดต่อกันง่ายทางการไอ จาม ตั้งเป้าฉีดให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยง 8 กลุ่ม จำนวน 3.4 ล้านโดส ฟรีทุกสิทธิการรักษา ประกอบด้วย หญิงมีครรภ์อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป เด็กอายุ 6 เดือนถึง 2 ปีทุกคน ผู้มีโรคเรื้อรังประจำตัว 7 โรค ได้แก่ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอ ไตวาย ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด และโรคเบาหวาน ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ โรคธาลัสซีเมียและผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคอ้วน ผู้ที่น้ำหนักตัวมากกว่า 100 กิโลกรัมขึ้นไป และบุคลากรทางสาธารณสุข เจ้าหน้าที่ และอาสาสมัครทำลายสัตว์ปีก โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสนับสนุนวัคซีนฉีดให้ประชาชน 3 ล้านโดส ส่วนกลุ่มบุคลากรสาธารณสุขกรมควบคุมโรคจัดซื้อ 4 แสนโดส
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ประกาศฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่แก่ประชาชนในวงกว้าง โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์และกลุ่มเด็กอายุ 6 เดือนถึง 2 ปี ซึ่งควรเข้ารับการฉีด เพื่อช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคและลดอันตรายจากภาวะแทรกซ้อนได้ ผลการวิจัยพบว่าหญิงมีครรภ์ ที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ จะมีอาการป่วยรุนแรงและเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงกว่าคนทั่วไปถึง 6 เท่า ในปี 2557 ประชาชน 2 กลุ่มนี้เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันเพียงร้อยละ 1 ซึ่งต่ำกว่าทุกกลุ่ม วัคซีนที่ฉีดในปีนี้ป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้ 3 สายพันธุ์ที่พบมากในไทยและทั่วโลก โดยเริ่มฉีดตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม ที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน
วัคซีนชนิดที่ 2 ได้แก่ วัคซีนป้องกันโรคหัด และหัดเยอรมัน เป็นวัคซีนรวมในเข็มเดียวกัน สำหรับเด็กอายุ 2 ปี 6 เดือน ถึง 7 ปี และยังไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคหัดเข็มที่ 2 ซึ่งมีประมาณ 3 ล้านคน เด็กกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด โดยพบได้ร้อยละ 40 ของผู้ป่วยโรคหัด เนื่องจากระดับภูมิต้านทานในร่างกายไม่เพียงพอ หลังจากที่เคยรับวัคซีนเข็มแรกในช่วงอายุ 9 เดือน ถึง 1 ขวบ ขณะนี้เด็กไทยมีอัตราครอบคลุมวัคซีนป้องกันโรคหัดสูงกว่าร้อยละ 96 จำนวนผู้ป่วยจึงลดลงมากปีละไม่ถึง 2,000 ราย ไม่มีเสียชีวิต
กระทรวงสาธารณสุขตั้งเป้ารณรงค์กำจัดโรคหัดให้เหลือไม่เกิน 1 ต่อประชากรล้านคน หรือประมาณ 66 ราย ภายใน พ.ศ.2563 ตามเป้าหมายองค์การอนามัยโลก และจัดทำเป็นโครงการถวายแด่องค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระเกียรติพระชนมายุ 60 พรรษา วันที่ 2 เมษายน 2558 โดยฉีดให้เด็กที่เกิดระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2551 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2555 ฟรี ตั้งแต่พฤษภาคม-กันยายน 2558 ที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน
สำหรับสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-25 เมษายน 2558 มีรายงานผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สะสมทั่วประเทศ 24,797 ราย เสียชีวิต 20 ราย จำนวนผู้ป่วยในรอบ 4 เดือน มีประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยตลอดปี 2557 ที่มีสะสมทั้งหมด 74,065 ราย เสียชีวิต 86 ราย ภายหลังจากประเทศไทยเริ่มฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ตั้งแต่ พ.ศ.2551 เป็นต้นมา จำนวนผู้ป่วยลดลงเรื่อยๆ หากประเทศไทยไม่มีการฉีดวัคซีนป้องกัน จะพบผู้ป่วยทั้งประเทศปีละ 700,000-900,000 ราย และมีผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดบวมร้อยละ 2.5 ต้องนอนรักษาในโรงพยาบาลปีละ 12,575-75,801 ราย ส่งผลต่อความสูญเสียทางเศรษฐกิจปีละ 913-2,453 ล้านบาทต่อปี ครึ่งหนึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องสูญเสียไปในการรักษาพยาบาล
สำหรับสถานการณ์โรคหัดและหัดเยอรมัน ตั้งแต่เดือนมกราคม-เมษายน 2558 มีรายงานผู้ป่วยโรคหัด 255 ราย หัดเยอรมัน 41 ราย ส่วนในปี 2557 พบผู้ป่วยโรคหัด 1,184 ราย หัดเยอรมัน 152 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตทั้ง 2 โรค
ทั้งนี้ อันตรายของโรคหัดเยอรมัน หากเป็นในหญิงตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก อาจทำให้ทารกในครรภ์พิการ ปัญญาอ่อน ต้อกระจก ต้อหิน หูหนวก หัวใจพิการ ซึ่งอาจเกิดร่วมกัน หรือเกิดเพียงอย่างเดียวก็ได้
ศาสตราจารย์นายแพทย์รัชตะ กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้จัดรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรค 2 ชนิด ให้ประชาชน เพื่อลดปัญหาการเจ็บป่วย ลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ และลดความเสี่ยงอันตรายหลังติดเชื้อ ได้แก่ วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เนื่องจากขณะนี้ย่างเข้าสู่ฤดูฝน ซึ่งเป็นฤดูกาลที่พบโรคนี้สูงที่สุด และโรคนี้ติดต่อกันง่ายทางการไอ จาม ตั้งเป้าฉีดให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยง 8 กลุ่ม จำนวน 3.4 ล้านโดส ฟรีทุกสิทธิการรักษา ประกอบด้วย หญิงมีครรภ์อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป เด็กอายุ 6 เดือนถึง 2 ปีทุกคน ผู้มีโรคเรื้อรังประจำตัว 7 โรค ได้แก่ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอ ไตวาย ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด และโรคเบาหวาน ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ โรคธาลัสซีเมียและผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคอ้วน ผู้ที่น้ำหนักตัวมากกว่า 100 กิโลกรัมขึ้นไป และบุคลากรทางสาธารณสุข เจ้าหน้าที่ และอาสาสมัครทำลายสัตว์ปีก โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสนับสนุนวัคซีนฉีดให้ประชาชน 3 ล้านโดส ส่วนกลุ่มบุคลากรสาธารณสุขกรมควบคุมโรคจัดซื้อ 4 แสนโดส
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ประกาศฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่แก่ประชาชนในวงกว้าง โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์และกลุ่มเด็กอายุ 6 เดือนถึง 2 ปี ซึ่งควรเข้ารับการฉีด เพื่อช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคและลดอันตรายจากภาวะแทรกซ้อนได้ ผลการวิจัยพบว่าหญิงมีครรภ์ ที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ จะมีอาการป่วยรุนแรงและเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงกว่าคนทั่วไปถึง 6 เท่า ในปี 2557 ประชาชน 2 กลุ่มนี้เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันเพียงร้อยละ 1 ซึ่งต่ำกว่าทุกกลุ่ม วัคซีนที่ฉีดในปีนี้ป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้ 3 สายพันธุ์ที่พบมากในไทยและทั่วโลก โดยเริ่มฉีดตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม ที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน
วัคซีนชนิดที่ 2 ได้แก่ วัคซีนป้องกันโรคหัด และหัดเยอรมัน เป็นวัคซีนรวมในเข็มเดียวกัน สำหรับเด็กอายุ 2 ปี 6 เดือน ถึง 7 ปี และยังไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคหัดเข็มที่ 2 ซึ่งมีประมาณ 3 ล้านคน เด็กกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด โดยพบได้ร้อยละ 40 ของผู้ป่วยโรคหัด เนื่องจากระดับภูมิต้านทานในร่างกายไม่เพียงพอ หลังจากที่เคยรับวัคซีนเข็มแรกในช่วงอายุ 9 เดือน ถึง 1 ขวบ ขณะนี้เด็กไทยมีอัตราครอบคลุมวัคซีนป้องกันโรคหัดสูงกว่าร้อยละ 96 จำนวนผู้ป่วยจึงลดลงมากปีละไม่ถึง 2,000 ราย ไม่มีเสียชีวิต
กระทรวงสาธารณสุขตั้งเป้ารณรงค์กำจัดโรคหัดให้เหลือไม่เกิน 1 ต่อประชากรล้านคน หรือประมาณ 66 ราย ภายใน พ.ศ.2563 ตามเป้าหมายองค์การอนามัยโลก และจัดทำเป็นโครงการถวายแด่องค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระเกียรติพระชนมายุ 60 พรรษา วันที่ 2 เมษายน 2558 โดยฉีดให้เด็กที่เกิดระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2551 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2555 ฟรี ตั้งแต่พฤษภาคม-กันยายน 2558 ที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน
สำหรับสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-25 เมษายน 2558 มีรายงานผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สะสมทั่วประเทศ 24,797 ราย เสียชีวิต 20 ราย จำนวนผู้ป่วยในรอบ 4 เดือน มีประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยตลอดปี 2557 ที่มีสะสมทั้งหมด 74,065 ราย เสียชีวิต 86 ราย ภายหลังจากประเทศไทยเริ่มฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ตั้งแต่ พ.ศ.2551 เป็นต้นมา จำนวนผู้ป่วยลดลงเรื่อยๆ หากประเทศไทยไม่มีการฉีดวัคซีนป้องกัน จะพบผู้ป่วยทั้งประเทศปีละ 700,000-900,000 ราย และมีผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดบวมร้อยละ 2.5 ต้องนอนรักษาในโรงพยาบาลปีละ 12,575-75,801 ราย ส่งผลต่อความสูญเสียทางเศรษฐกิจปีละ 913-2,453 ล้านบาทต่อปี ครึ่งหนึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องสูญเสียไปในการรักษาพยาบาล
สำหรับสถานการณ์โรคหัดและหัดเยอรมัน ตั้งแต่เดือนมกราคม-เมษายน 2558 มีรายงานผู้ป่วยโรคหัด 255 ราย หัดเยอรมัน 41 ราย ส่วนในปี 2557 พบผู้ป่วยโรคหัด 1,184 ราย หัดเยอรมัน 152 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตทั้ง 2 โรค
ทั้งนี้ อันตรายของโรคหัดเยอรมัน หากเป็นในหญิงตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก อาจทำให้ทารกในครรภ์พิการ ปัญญาอ่อน ต้อกระจก ต้อหิน หูหนวก หัวใจพิการ ซึ่งอาจเกิดร่วมกัน หรือเกิดเพียงอย่างเดียวก็ได้