นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ตัวแทนกลุ่มผู้ประกอบการสถานีบริการแก๊สแอลพีจี และในนามประชาชนผู้ใช้แก๊สแอลพีจี ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนนโยบายที่นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิวัฒน์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ออกมาเสนอมาตรการเก็บภาษีทั้งระบบของแอลพีจีภาคขนส่ง ให้เทียบเคียงกับน้ำมันดีเซล คือลิตรละ 4-5 บาท ขึ้นภาษีนำเข้าอุปกรณ์ติดตั้งแก๊ส และภาษีรถยนต์ที่ติดตั้งแก๊สแอลพีจี ซึ่งเป็นแนวทางที่ไร้ธรรมาภิบาล ไม่อาจยอมรับได้ เพราะภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ประชาชนต้องดิ้นรนเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้วยการใช้แอลพีจีเป็นที่พึ่งของคนมีรายได้น้อย การประกาศเช่นนี้ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบ เป็นแนวทางจ้องทำร้ายประชาชนอย่างไม่น่าให้อภัย
นายวัชระ กล่าวด้วยว่า ผู้ประกอบการแก๊สแอลพีจีเป็นประชาชนที่เสียภาษีถูกต้อง ไม่ใช่มิจฉาชีพ มีภาระเลี้ยงครอบครัว การที่อธิบดีออกมาเสนอเช่นนี้ จะเป็นการฆ่าผู้ประกอบการ ส่งผลให้ต้องปิดกิจการอย่างแน่นอน ดังนั้นในฐานะผู้ประกอบการและผู้ใช้แก๊สแอลพีจีขอประกาศจุดยืนคัดค้านกรณีดังกล่าวถึงที่สุด ถ้ายังดึงดันผู้ประกอบการและผู้ใช้แก๊สแอลพีจี จะรวบรวมรายชื่อ 50,000 รายชื่อ เพื่อร้องเรียนต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. และร้องต่อศาลยุติธรรมต่อไป
ทั้งนี้ การขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตแก๊สแอลพีจีเพื่อให้เท่ากับเชื้อเพลิงชนิดอื่น ขึ้นภาษีอุปกรณ์ติดตั้ง ขึ้นภาษีรถยนต์ใช้แก๊สแอลพีจี ควบคุมการตั้งปั๊มใหม่ เป็นนโยบายที่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ประกอบการกับประชาชน ทั้งที่ปริมาณการใช้สูงที่สุดคือ ปิโตรเคมีทำให้ก๊าซไม่เพียงพอ จนต้องนำเข้าจากต่างประเทศ จึงอยากให้รัฐฟังเสียงประชาชน ด้วยการยุติการขึ้นภาษีสรรพสามิตดังกล่าวที่จะทำให้ประชาชนเดือดร้อน และกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม ส่วนการที่นายวิฑูรย์ แนะนำให้ผู้ประกอบการเปลี่ยนอาชีพไปขายเต้าฮวย ก็ขอแนะนำให้รัฐมนตรีเรียกตัวนายวิฑูรย์ ไปปรับทัศนคติด้วย
ขณะเดียวกัน นายวัชระ ยังได้แถลงเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ 3 ชนิด ได้แก่ มะละกอ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปาล์มน้ำมัน โดยเฉพาะราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำนั้น เนื่องจาก พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ อนุมัติให้นำเข้าน้ำมันปาล์มถึง 50,000 ตัน ทำให้ราคาปาล์มตกต่ำเหลือเพียงแค่ 3 บาท ไม่ถึง 4 บาท ตามที่รัฐบาลกล่าวอ้างแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่มีการเตือนแล้วว่านโยบายดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรภายในประเทศ ตนเห็นว่าถ้ารัฐบาลไม่มีความรู้ ก็ควรขอความรู้จากนายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่มีความรู้เรื่องปาล์ม แต่ถ้ารัฐมนตรีไม่มีความรู้ แม้เป็นเพื่อนนายกรัฐมนตรี ก็ไม่สมควรให้อยู่ในตำแหน่งอีกต่อไป
นายวัชระ กล่าวด้วยว่า ผู้ประกอบการแก๊สแอลพีจีเป็นประชาชนที่เสียภาษีถูกต้อง ไม่ใช่มิจฉาชีพ มีภาระเลี้ยงครอบครัว การที่อธิบดีออกมาเสนอเช่นนี้ จะเป็นการฆ่าผู้ประกอบการ ส่งผลให้ต้องปิดกิจการอย่างแน่นอน ดังนั้นในฐานะผู้ประกอบการและผู้ใช้แก๊สแอลพีจีขอประกาศจุดยืนคัดค้านกรณีดังกล่าวถึงที่สุด ถ้ายังดึงดันผู้ประกอบการและผู้ใช้แก๊สแอลพีจี จะรวบรวมรายชื่อ 50,000 รายชื่อ เพื่อร้องเรียนต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. และร้องต่อศาลยุติธรรมต่อไป
ทั้งนี้ การขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตแก๊สแอลพีจีเพื่อให้เท่ากับเชื้อเพลิงชนิดอื่น ขึ้นภาษีอุปกรณ์ติดตั้ง ขึ้นภาษีรถยนต์ใช้แก๊สแอลพีจี ควบคุมการตั้งปั๊มใหม่ เป็นนโยบายที่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ประกอบการกับประชาชน ทั้งที่ปริมาณการใช้สูงที่สุดคือ ปิโตรเคมีทำให้ก๊าซไม่เพียงพอ จนต้องนำเข้าจากต่างประเทศ จึงอยากให้รัฐฟังเสียงประชาชน ด้วยการยุติการขึ้นภาษีสรรพสามิตดังกล่าวที่จะทำให้ประชาชนเดือดร้อน และกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม ส่วนการที่นายวิฑูรย์ แนะนำให้ผู้ประกอบการเปลี่ยนอาชีพไปขายเต้าฮวย ก็ขอแนะนำให้รัฐมนตรีเรียกตัวนายวิฑูรย์ ไปปรับทัศนคติด้วย
ขณะเดียวกัน นายวัชระ ยังได้แถลงเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ 3 ชนิด ได้แก่ มะละกอ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปาล์มน้ำมัน โดยเฉพาะราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำนั้น เนื่องจาก พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ อนุมัติให้นำเข้าน้ำมันปาล์มถึง 50,000 ตัน ทำให้ราคาปาล์มตกต่ำเหลือเพียงแค่ 3 บาท ไม่ถึง 4 บาท ตามที่รัฐบาลกล่าวอ้างแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่มีการเตือนแล้วว่านโยบายดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรภายในประเทศ ตนเห็นว่าถ้ารัฐบาลไม่มีความรู้ ก็ควรขอความรู้จากนายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่มีความรู้เรื่องปาล์ม แต่ถ้ารัฐมนตรีไม่มีความรู้ แม้เป็นเพื่อนนายกรัฐมนตรี ก็ไม่สมควรให้อยู่ในตำแหน่งอีกต่อไป
