พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หารือทวิภาคีกับนายโจโก วิโดโด ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ระหว่างการประชุมสุดยอดเอเชีย-แอฟริกา (Asian-African Leaders Summit) ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 22-23 เมษายน เพื่อยืนยันเจตนารมณ์ความร่วมมือกับอินโดนีเซีย ในการกำหนดวิสัยทัศน์ ความร่วมมือทั้งในกรอบทวิภาคีและภูมิภาค
ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ ร.อ. นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีกับอินโดนีเซียที่ประสบความสำเร็จในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดเอเชีย-แอฟริกา ในโอกาสครบรอบ 60 ปีของการก่อตั้งการประชุมเอเชีย-แอฟริกาในครั้งนี้ ไทยยืนยันที่จะร่วมมือกับอินโดนีเซียในการพัฒนาความสัมพันธ์รอบด้าน เพื่อประโยชน์ร่วมกันและของภูมิภาค ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรียังกล่าวขอบคุณอินโดนีเซียสำหรับการประสานงานและให้ความช่วยเหลือในการอพยพคนไทยออกจากเยเมนด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีอินโดนีเซีย เห็นพ้องจัดตั้งคณะทำงานด้านการประมง โดยอินโดนีเซียมอบหมายให้รัฐมนตรีกระทรวงกิจการทะเลและประมงอินโดนีเซีย ขณะที่คณะทำงานฝ่ายไทยจะประกอบด้วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฎิมาประกร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย เพื่อประสานความร่วมมือนการแก้ไขปัญหาและวางแนวทางความร่วมมือในระยะยาวต่อกัน ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายในน่านน้ำต่างประเทศ โดยถือเป็นวาระแห่งชาติ รวมทั้งการแก้ปัญหาภาคประมงไทยในลักษณะองค์รวม ทั้งประเด็นแรงงานผิดกฎหมาย การต่อต้านการทำประมงแบบ IUU และการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการประมงระหว่างไทยและอินโดนีเซีย ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาด้านประมง และหวังว่าจะมีการลงนามกันโดยเร็ว
ขณะที่การพัฒนาการทางการเมืองของไทยนั้น รัฐบาลไทยกำลังดำเนินตามขั้นตอนที่ 2 ของโรดแมป โดยขอให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในกระบวนการปฏิรูป เพื่อความเข้มแข็งทางการเมืองและเศรษฐกิจ สำหรับกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในปีนี้ เพื่อนำไปสู่การประกาศการจัดการเลือกตั้งทั่วไปในช่วงปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า สะท้อนให้เห็นการกลับมาเป็นประชาธิปไตของไทยอย่างยั่งยืน
ส่วนการส่งเสริมความร่วมมือการค้าและการลงทุน นายกรัฐมนตรีย้ำว่า ภาคเอกชนไทยมีความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย พร้อมที่จะขยายการลงทุนในอินโดนีเซียอย่างต่อเนื่อง และหวังว่าอินโดนีเซียจะสนับสนุนให้ภาคเอกชนอินโดนีเซียขยายการลงทุนในไทย เพื่อเพิ่มพูนปริมาณการลงทุนระหว่างสองประเทศในภาพรวม ทั้งนี้ ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ได้กล่าวเชิญชวนภาคเอกชนไทยเข้ามาลงทุนในลาขาต่างๆ อาทิ อาหารแปรรูป การท่องเที่ยว พลังงาน โดยมีศูนย์ One Stop Linciencing Service
ทั้งนี้ ความร่วมมือด้านความมั่นคงทางอาหารและสินค้าเกษตร ซึ่งไทยได้ขอให้อินโดนีเซียเร่งรัดจัดทำ MRA (Mutual Recognition Agreement) เพื่ออำนวยความสะดวกและส่งเสริมให้การค้าระหว่างกันมีความคล่องตัว
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดี ยังได้มีการหารือเกี่ยวกับความร่วมมือพหุภาคีและภูมิภาคว่า ไทยพร้อมที่จะร่วมมือกับอินโดนีเซีย เพื่อเสริมสร้างประชาคมอาเซียนที่ยึดมั่นในกฎเกณฑ์ โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้เป็นภูมิภาคแห่งสันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง
ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ ร.อ. นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีกับอินโดนีเซียที่ประสบความสำเร็จในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดเอเชีย-แอฟริกา ในโอกาสครบรอบ 60 ปีของการก่อตั้งการประชุมเอเชีย-แอฟริกาในครั้งนี้ ไทยยืนยันที่จะร่วมมือกับอินโดนีเซียในการพัฒนาความสัมพันธ์รอบด้าน เพื่อประโยชน์ร่วมกันและของภูมิภาค ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรียังกล่าวขอบคุณอินโดนีเซียสำหรับการประสานงานและให้ความช่วยเหลือในการอพยพคนไทยออกจากเยเมนด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีอินโดนีเซีย เห็นพ้องจัดตั้งคณะทำงานด้านการประมง โดยอินโดนีเซียมอบหมายให้รัฐมนตรีกระทรวงกิจการทะเลและประมงอินโดนีเซีย ขณะที่คณะทำงานฝ่ายไทยจะประกอบด้วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฎิมาประกร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย เพื่อประสานความร่วมมือนการแก้ไขปัญหาและวางแนวทางความร่วมมือในระยะยาวต่อกัน ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายในน่านน้ำต่างประเทศ โดยถือเป็นวาระแห่งชาติ รวมทั้งการแก้ปัญหาภาคประมงไทยในลักษณะองค์รวม ทั้งประเด็นแรงงานผิดกฎหมาย การต่อต้านการทำประมงแบบ IUU และการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการประมงระหว่างไทยและอินโดนีเซีย ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาด้านประมง และหวังว่าจะมีการลงนามกันโดยเร็ว
ขณะที่การพัฒนาการทางการเมืองของไทยนั้น รัฐบาลไทยกำลังดำเนินตามขั้นตอนที่ 2 ของโรดแมป โดยขอให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในกระบวนการปฏิรูป เพื่อความเข้มแข็งทางการเมืองและเศรษฐกิจ สำหรับกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในปีนี้ เพื่อนำไปสู่การประกาศการจัดการเลือกตั้งทั่วไปในช่วงปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า สะท้อนให้เห็นการกลับมาเป็นประชาธิปไตของไทยอย่างยั่งยืน
ส่วนการส่งเสริมความร่วมมือการค้าและการลงทุน นายกรัฐมนตรีย้ำว่า ภาคเอกชนไทยมีความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย พร้อมที่จะขยายการลงทุนในอินโดนีเซียอย่างต่อเนื่อง และหวังว่าอินโดนีเซียจะสนับสนุนให้ภาคเอกชนอินโดนีเซียขยายการลงทุนในไทย เพื่อเพิ่มพูนปริมาณการลงทุนระหว่างสองประเทศในภาพรวม ทั้งนี้ ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ได้กล่าวเชิญชวนภาคเอกชนไทยเข้ามาลงทุนในลาขาต่างๆ อาทิ อาหารแปรรูป การท่องเที่ยว พลังงาน โดยมีศูนย์ One Stop Linciencing Service
ทั้งนี้ ความร่วมมือด้านความมั่นคงทางอาหารและสินค้าเกษตร ซึ่งไทยได้ขอให้อินโดนีเซียเร่งรัดจัดทำ MRA (Mutual Recognition Agreement) เพื่ออำนวยความสะดวกและส่งเสริมให้การค้าระหว่างกันมีความคล่องตัว
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดี ยังได้มีการหารือเกี่ยวกับความร่วมมือพหุภาคีและภูมิภาคว่า ไทยพร้อมที่จะร่วมมือกับอินโดนีเซีย เพื่อเสริมสร้างประชาคมอาเซียนที่ยึดมั่นในกฎเกณฑ์ โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้เป็นภูมิภาคแห่งสันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง