ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน และนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่น พบปะหารือกันเมื่อวันพุธ (22 เม.ย.) ซึ่งเป็นเพียงครั้งที่สองนับแต่ตั้งแต่ที่ทั้งคู่ขึ้นบริหารประเทศ ถือเป็นความพยายามที่จะซ่อมแซมรอยร้าวในความสัมพันธ์ที่เสียหายไปมาก จากกรณีพิพาทเรื่องดินแดน และมรดกตกทอดอันขมขื่นจากสงครามโลกครั้งที่ 2
ผู้นำทั้งสองพบปะกันที่กรุงจาการ์ตา ระหว่างที่ทั้งคู่ต่างเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมผู้นำชาติเอเชียและแอฟริกา โดยที่เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นผู้หนึ่งบอกกับสำนักข่าวเอเอฟพีว่า การหารือคราวนี้กินเวลาราวครึ่งชั่วโมง
ก่อนที่จะปิดห้องพูดคุยกัน สี กับ อาเบะ ได้สัมผัสมือกันท่ามกลางความสนใจของสื่อมวลชน โดยเห็นกันว่าผู้นำทั้งสองดูมีท่าทีผ่อนคลายมากกว่าเมื่อครั้งพวกเขาพบปะหารือกันครั้งแรกในประเทศจีนเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ซึ่ง สี กับ อาเบะ จับมือกันด้วยท่าทีกระอักกระอ่วนและไม่มีรอยยิ้มให้กัน
ภายหลังการพบปะที่จาการ์ตาคราวนี้ อาเบะซึ่งความเป็นนักชาตินิยมขวาจัดของเขาก่อให้เกิดความมึนตึงกัปักกิ่งอยู่บ่อยครั้ง ได้บอกกับผู้สื่อข่าวว่า เขา กับ สี “ได้ทำการหารือในระดับผู้นำที่มีความหมายมาก” และสายสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่นกำลังปรับปรุงดีขึ้น
“เราต้องเข้าร่วมส่วนร่วมสร้างเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาคนี้” เขากล่าว และเสริมว่า เขาหวังที่จะได้จัดการหารือกับฝ่ายจีนเช่นนี้อีกในการระหว่างประชุมนานาชาติต่อไปในอนาคต
ขณะที่สำนักข่าวเกียวโดของญี่ปุ่นรายงานข่าวว่า ระหว่างการพบปะคราวนี้ อาเบะได้เร่งรัด สี ให้ทำงานร่วมกันเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดในทะเลจีนตะวันออก ซึ่งสองประเทศกำลังพิพาทช่วงชิงกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะเล็กๆ แห่งหนึ่ง
ส่วนวิทยุแห่งชาติจีน ที่อยู่ในความควบคุมของทางการแดนมังกร ได้รายงานว่า สี บอกกับ อาเบะว่า เขา “หวังให้ฝ่ายญี่ปุ่นเอาใจใส่อย่างจริงจังต่อความกังวลของเหล่าชาติเพื่อนบ้านในเอเชีย และส่งข้อความที่เป็นด้านบวก ซึ่งแสดงถึงการเข้าเผชิญหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์อย่างตรงไปตรงมา”
ทั้งนี้เห็นได้ชัดว่า สี กำลังพาดพิงถึงคำปราศรัยที่อาเบะจะกล่าวในวาระครบรอบ 70 ปีแห่งการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงปลายปีนี้ โดยที่ปักกิ่งมองว่า อาเบะไม่ได้แสดงความสำนึกผิดเพียงพอต่อการรุกรานและยึดครองดินแดนชาติเพื่อนบ้าน ตลอดจนแสดงพฤติการณ์เหี้ยมโหดเลวร้ายอื่นๆ ของญี่ปุ่นในช่วงสงคราม
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เกียวโดรายงานว่า อาเบะได้บอกกับสี ว่า เขาจะยึดมั่นในคำขออภัยครั้งก่อนๆ ที่พวกผู้นำญี่ปุ่นได้เคยแถลงไว้ รวมทั้งคำแถลงที่ถือเป็นครั้งประวัติศาสตร์เมื่อปี 1995 โดยนายกรัฐมนตรี โทมิชิ มุรายามะ ในเวลานั้น แต่อาเบะก็บอกด้วยว่า เขาต้องการที่จะตั้งข้อสังเกตชนิดมุ่งมองไปข้างหน้าโดยใช้ถ้อยคำของตัวเขาเอง ท่าทีเช่นนี้ยังคงเหมือนกับที่อาเบะเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งได้สร้างความกังวลกันว่าเขาต้องการที่จะลดทอนน้ำหนักการขออภัยครั้งก่อนๆ ของทางการโตเกียว
ผู้นำทั้งสองพบปะกันที่กรุงจาการ์ตา ระหว่างที่ทั้งคู่ต่างเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมผู้นำชาติเอเชียและแอฟริกา โดยที่เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นผู้หนึ่งบอกกับสำนักข่าวเอเอฟพีว่า การหารือคราวนี้กินเวลาราวครึ่งชั่วโมง
ก่อนที่จะปิดห้องพูดคุยกัน สี กับ อาเบะ ได้สัมผัสมือกันท่ามกลางความสนใจของสื่อมวลชน โดยเห็นกันว่าผู้นำทั้งสองดูมีท่าทีผ่อนคลายมากกว่าเมื่อครั้งพวกเขาพบปะหารือกันครั้งแรกในประเทศจีนเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ซึ่ง สี กับ อาเบะ จับมือกันด้วยท่าทีกระอักกระอ่วนและไม่มีรอยยิ้มให้กัน
ภายหลังการพบปะที่จาการ์ตาคราวนี้ อาเบะซึ่งความเป็นนักชาตินิยมขวาจัดของเขาก่อให้เกิดความมึนตึงกัปักกิ่งอยู่บ่อยครั้ง ได้บอกกับผู้สื่อข่าวว่า เขา กับ สี “ได้ทำการหารือในระดับผู้นำที่มีความหมายมาก” และสายสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่นกำลังปรับปรุงดีขึ้น
“เราต้องเข้าร่วมส่วนร่วมสร้างเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาคนี้” เขากล่าว และเสริมว่า เขาหวังที่จะได้จัดการหารือกับฝ่ายจีนเช่นนี้อีกในการระหว่างประชุมนานาชาติต่อไปในอนาคต
ขณะที่สำนักข่าวเกียวโดของญี่ปุ่นรายงานข่าวว่า ระหว่างการพบปะคราวนี้ อาเบะได้เร่งรัด สี ให้ทำงานร่วมกันเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดในทะเลจีนตะวันออก ซึ่งสองประเทศกำลังพิพาทช่วงชิงกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะเล็กๆ แห่งหนึ่ง
ส่วนวิทยุแห่งชาติจีน ที่อยู่ในความควบคุมของทางการแดนมังกร ได้รายงานว่า สี บอกกับ อาเบะว่า เขา “หวังให้ฝ่ายญี่ปุ่นเอาใจใส่อย่างจริงจังต่อความกังวลของเหล่าชาติเพื่อนบ้านในเอเชีย และส่งข้อความที่เป็นด้านบวก ซึ่งแสดงถึงการเข้าเผชิญหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์อย่างตรงไปตรงมา”
ทั้งนี้เห็นได้ชัดว่า สี กำลังพาดพิงถึงคำปราศรัยที่อาเบะจะกล่าวในวาระครบรอบ 70 ปีแห่งการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงปลายปีนี้ โดยที่ปักกิ่งมองว่า อาเบะไม่ได้แสดงความสำนึกผิดเพียงพอต่อการรุกรานและยึดครองดินแดนชาติเพื่อนบ้าน ตลอดจนแสดงพฤติการณ์เหี้ยมโหดเลวร้ายอื่นๆ ของญี่ปุ่นในช่วงสงคราม
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เกียวโดรายงานว่า อาเบะได้บอกกับสี ว่า เขาจะยึดมั่นในคำขออภัยครั้งก่อนๆ ที่พวกผู้นำญี่ปุ่นได้เคยแถลงไว้ รวมทั้งคำแถลงที่ถือเป็นครั้งประวัติศาสตร์เมื่อปี 1995 โดยนายกรัฐมนตรี โทมิชิ มุรายามะ ในเวลานั้น แต่อาเบะก็บอกด้วยว่า เขาต้องการที่จะตั้งข้อสังเกตชนิดมุ่งมองไปข้างหน้าโดยใช้ถ้อยคำของตัวเขาเอง ท่าทีเช่นนี้ยังคงเหมือนกับที่อาเบะเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งได้สร้างความกังวลกันว่าเขาต้องการที่จะลดทอนน้ำหนักการขออภัยครั้งก่อนๆ ของทางการโตเกียว
