กรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กได้แชร์ภาพของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ประกอบด้วย พ่อ แม่ และลูกเล็ก ๆ หอบสัมภาระข้าวของพะรุงพะรังบนทางด่วน โดยผู้เผยภาพระบุว่า เป็นฝีมือของแท็กซี่ไล่นักท่องเที่ยวลงกลางทาง ซึ่งก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก และต่อมาการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ได้ออกหนังสือชี้แจงว่า อย่าเพิ่งตำหนิการกระทำของฝ่ายใด เพราะยังไม่ปรากฏภาพแน่ชัดว่าเป็นการกระทำของรถแท็กซี่จริงหรือไม่ ตามที่ปรากฏเป็นข่าวมาแล้วนั้น
ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 23 มี.ค. พ.ต.ท.สุรชัช สุวรรณศรี รอง ผกก.6 บก.ทท. เปิดเผยถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า ได้รับการยืนยันแล้วจาก สน.ทางด่วน 2 บก.จร.ว่า นักท่องเที่ยวที่เห็นในภาพนั้น เดินทางด้วยรถตู้โดยสารจาก จ.สระแก้ว จุดหมายปลายทางคือถนนข้าวสาร ซึ่งก่อนหน้านี้ได้วิ่งมาตามเส้นทางด่วนอย่างปกติ กระทั่งมาถึงด่านอโศก 2 คนขับรถตู้ได้จอดให้นักท่องเที่ยวแวะเข้าห้องน้ำ แต่ปรากฏว่านักท่องเที่ยวฝรั่งคนดังกล่าวได้เดินมาหาคนขับรถตู้ พร้อมแผนที่กรุงเทพฯ ก่อนจะสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ ทำนองว่า ต้องการจะเดินทางไปซอยสุขุมวิท 71 อย่างไรก็ตามทางคนขับได้บอกให้กลับขึ้นรถไปยังถนนข้าวสารก่อน แล้วค่อยเดินทางไปตามที่ต้องการ แต่ทางนักท่องเที่ยวไม่ยอม ดึงดันที่จะขนสัมภาระลงมาจากรถตู้เอง
พ.ต.ท.ศุรชัช กล่าวอีกว่า หลังนักท่องเที่ยวพยายามหาทางไปต่อด้วยการเดินเท้า เพื่อหาช่องทางลงจากทางด่วน จนมีผู้พบเห็น ถ่ายรูปนำมาลงในโซเชียลมีเดีย จนมีการวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว อย่างไรก็ตามหลังลงจากรถแล้วลงเดิน ทางตำรวจทางด่วน 2 ได้ถ่ายภาพเอาไว้เป็นหลักฐาน ได้มีการโพส์ต่อ ๆ กันไปว่าเป็นการถูกแทกซี่ไล่ลง ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ส่วนครอบครัวของนักท่องเที่ยวนี้ไปต่ออย่างไรนั้น ทราบเพียงว่าทางตำรวจทางด่วน 2 เป็นผู้ดูแลต่อ ซึ่งอาจจะประสานโบกแท็กซี่คันต่อไป หรือแนะนำให้ทางนักท่องเที่ยวลงบันไดทางด่วนสู่พื้นด้านล่าง เพื่อขึ้นรถต่อไปยังจุดหมาย
พ.ต.ท.ศุรชัช กล่าวต่อว่า เรื่องนี้สาเหตุเกิดจากภาพเพียงภาพเดียว และคำพูดของผู้ที่ไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง ตีความกันไปโดยไม่มีหลักฐาน แต่ได้สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทย และภาพลักษณ์ของรถแท็กซี่สุวรรณภูมิ จนกลายเป็นจำเลยของสังคมไปโดยปริยาย
“ตั้งแต่ภาพและข้อความเหล่านั้นถูกเผยแพร่ออกไป ทางเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดทุกจุดย้อนหลัง เพื่อไล่ล่าหาตัวผู้กระทำผิด แต่สุดท้ายไม่พบหลักฐานเชื่อมโยง ทำให้เราเริ่มมั่นใจว่าข้อเท็จจริงของเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่ตามที่ถูกแพร่ภาพ สันนิษฐานว่าต้นเหตุอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอย่างที่หลายฝ่ายกล่าวอ้าง เนื่องจากที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจัดชุดสายตรวจตลอด 24 ชั่วโมง ลงพื้นที่กำชับตรวจสอบ และให้ข้อมูลประชาสัมพันธ์กับนักท่องเที่ยวและผู้ขับรถแท็กซี่ ให้ปฏิบัติตามกฎ-กติกาที่วางไว้ และที่ผ่านมาแท็กซี่สุวรรณภูมิไม่เคยถูกร้องเรียนเรื่องทิ้งผู้โดยสารกลางทาง ขอร้องผู้ที่นิยมเสพภาพ และข้อความผ่านโลกโซเซียลให้ใช้วิจารณญาณ และสืบค้นหาเท็จจริงให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินถูกผิด หรือแชร์ภาพต่อ ๆกัน ขอให้ระมัดระวังให้มากขึ้น เพราะหลายครั้งที่การส่งต่อข้อความและภาพโดยไม่มีข้อเท็จจริง ได้สร้างความเสียหายต่อสังคมและประเทศชาติ”พ.ต.ท.ศุรชัช กล่าว
ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 23 มี.ค. พ.ต.ท.สุรชัช สุวรรณศรี รอง ผกก.6 บก.ทท. เปิดเผยถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า ได้รับการยืนยันแล้วจาก สน.ทางด่วน 2 บก.จร.ว่า นักท่องเที่ยวที่เห็นในภาพนั้น เดินทางด้วยรถตู้โดยสารจาก จ.สระแก้ว จุดหมายปลายทางคือถนนข้าวสาร ซึ่งก่อนหน้านี้ได้วิ่งมาตามเส้นทางด่วนอย่างปกติ กระทั่งมาถึงด่านอโศก 2 คนขับรถตู้ได้จอดให้นักท่องเที่ยวแวะเข้าห้องน้ำ แต่ปรากฏว่านักท่องเที่ยวฝรั่งคนดังกล่าวได้เดินมาหาคนขับรถตู้ พร้อมแผนที่กรุงเทพฯ ก่อนจะสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ ทำนองว่า ต้องการจะเดินทางไปซอยสุขุมวิท 71 อย่างไรก็ตามทางคนขับได้บอกให้กลับขึ้นรถไปยังถนนข้าวสารก่อน แล้วค่อยเดินทางไปตามที่ต้องการ แต่ทางนักท่องเที่ยวไม่ยอม ดึงดันที่จะขนสัมภาระลงมาจากรถตู้เอง
พ.ต.ท.ศุรชัช กล่าวอีกว่า หลังนักท่องเที่ยวพยายามหาทางไปต่อด้วยการเดินเท้า เพื่อหาช่องทางลงจากทางด่วน จนมีผู้พบเห็น ถ่ายรูปนำมาลงในโซเชียลมีเดีย จนมีการวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว อย่างไรก็ตามหลังลงจากรถแล้วลงเดิน ทางตำรวจทางด่วน 2 ได้ถ่ายภาพเอาไว้เป็นหลักฐาน ได้มีการโพส์ต่อ ๆ กันไปว่าเป็นการถูกแทกซี่ไล่ลง ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ส่วนครอบครัวของนักท่องเที่ยวนี้ไปต่ออย่างไรนั้น ทราบเพียงว่าทางตำรวจทางด่วน 2 เป็นผู้ดูแลต่อ ซึ่งอาจจะประสานโบกแท็กซี่คันต่อไป หรือแนะนำให้ทางนักท่องเที่ยวลงบันไดทางด่วนสู่พื้นด้านล่าง เพื่อขึ้นรถต่อไปยังจุดหมาย
พ.ต.ท.ศุรชัช กล่าวต่อว่า เรื่องนี้สาเหตุเกิดจากภาพเพียงภาพเดียว และคำพูดของผู้ที่ไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง ตีความกันไปโดยไม่มีหลักฐาน แต่ได้สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทย และภาพลักษณ์ของรถแท็กซี่สุวรรณภูมิ จนกลายเป็นจำเลยของสังคมไปโดยปริยาย
“ตั้งแต่ภาพและข้อความเหล่านั้นถูกเผยแพร่ออกไป ทางเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดทุกจุดย้อนหลัง เพื่อไล่ล่าหาตัวผู้กระทำผิด แต่สุดท้ายไม่พบหลักฐานเชื่อมโยง ทำให้เราเริ่มมั่นใจว่าข้อเท็จจริงของเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่ตามที่ถูกแพร่ภาพ สันนิษฐานว่าต้นเหตุอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอย่างที่หลายฝ่ายกล่าวอ้าง เนื่องจากที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจัดชุดสายตรวจตลอด 24 ชั่วโมง ลงพื้นที่กำชับตรวจสอบ และให้ข้อมูลประชาสัมพันธ์กับนักท่องเที่ยวและผู้ขับรถแท็กซี่ ให้ปฏิบัติตามกฎ-กติกาที่วางไว้ และที่ผ่านมาแท็กซี่สุวรรณภูมิไม่เคยถูกร้องเรียนเรื่องทิ้งผู้โดยสารกลางทาง ขอร้องผู้ที่นิยมเสพภาพ และข้อความผ่านโลกโซเซียลให้ใช้วิจารณญาณ และสืบค้นหาเท็จจริงให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินถูกผิด หรือแชร์ภาพต่อ ๆกัน ขอให้ระมัดระวังให้มากขึ้น เพราะหลายครั้งที่การส่งต่อข้อความและภาพโดยไม่มีข้อเท็จจริง ได้สร้างความเสียหายต่อสังคมและประเทศชาติ”พ.ต.ท.ศุรชัช กล่าว