xs
xsm
sm
md
lg

“เกาะเต่า” เรื่องที่ฉันไม่เคยเล่าให้ใครฟัง (ตอนที่ 1) : หลงรักดงดอย แต่ต้องไปลอยคออยู่เกาะ เพราะเขาแท้ๆ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

 
โดย...เงาศิลป์

(“เงาศิลป์” เกิดทางใต้ แต่เติบโตที่ภาคกลาง และใช้ชีวิตเร่ร่อนในวัยสาวทั่วประเทศไทย เพราะหลงรักเสรีภาพ และการเดินทางมากกว่าทุกสิ่ง เธอจดบันทึกทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต จนบัดนี้พยายามปักหลักหยั่งรากบนแผ่นดินอีสาน ทำงานอยู่กับต้นไม้ ยิปซีสาวแห่งทุ่งอักษรผู้แสวงหาอะไรสักอย่างที่ไม่กล้าประกาศออกไป ด้วยความหวังว่าสุดท้าย...อาจได้เจอสิ่งนั้น)
ส่วนนี้ของเกาะเต่า อยู่ไม่ไกลหาดทรายรี จุดเกิดเหตุที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ (ภาพโดย : เงาศิลป์,2552)
 
ปี  2537
 
“ยาย ไปเที่ยวเกาะกันเถอะ” คำชวนง่ายๆ สั้นๆ ของเขา ในวันที่ฉันลงมากรุงเทพฯ เพื่อพบกับเขาที่ถนนข้าวสาร
 
“เกาะไหนน้า”
 
“เกาะเต่า”
 
“ไม่เคยรู้จัก อยู่ตรงไหนเหรอ”
 
“เดี๋ยวก็รู้จักเอง” เขาว่าง่ายๆ สบายๆ ตามสไตล์ของเขา
 
ใครจะไปรู้เล่าว่า นั่นคือการขึ้นเกาะที่เป็นการเลือกแห่งหน เพื่อจะสิ้นลมหายใจของเขาที่นั่น ทั้งๆ ที่ฉันหวังเอาไว้เสมอว่า สักวันเขาจะเปลี่ยนใจตามฉันกลับไปสิงสถิตอยู่ ณ หุบห้วยดงดอยที่ไหนสักแห่ง ตามที่ฉันปรารถนา
 
เช้ามืดของวันนั้น วันที่ฉันเหยียบยืนบนแผ่นดินกลางมหาสมุทร ที่มีชื่อว่าเกาะเต่า หลังจากสลบไสลปนมึนเมาคลื่นลมบนเรือประมงขนาดกลางมาค่อนคืน
 
เสียงนกเอี้ยงนับร้อยๆ ตัวบนต้นมะพร้าวริมชายหาด ที่ตะเบ็งลั่นจนหูอื้อ ฉันจำได้ไม่ลืม และจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งของการขึ้นเกาะตอนเช้าตรู่นี้ มันยังคงรักษาท่วงทำนองการพูดคุยของมันเอาไว้อย่างนั้น
 
มันกำลังทะเลาะกันมากกว่าจะปรึกษาหารืออะไรกัน ฉันคิด...
 
บริเวณท่าเรือ และชายหาดยังมัวซัว ไร้แสงสว่างจากไฟฟ้า เงาสลัวๆ ของอรุณรุ่ง และแสงไฟจากหน้ารถสองล้อเครื่อง ทำให้รู้ว่ามีรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างไม่กี่คัน ไม่เพียงพอสำหรับขนนักท่องเที่ยวประมาณ 30 คน ที่เพิ่งมาถึงได้ครบถ้วน เราจึงนั่งรอ
 
และในเมื่อฉันไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับเกาะนี้ การนั่งอยู่เฉยๆ บนคันดินใต้โคนมะพร้าว ดูความเคลื่อนไหวของทุกสิ่งทุกอย่างราวกับมีมนต์สะกด จึงทำให้ฉันจดจำเรื่องราวต่างๆ ได้คล้ายดูภาพยนตร์ซ้ำๆ จนกระทั่งตอนนี้
 
สายลมเช้าเคล้าแสงแดดอ่อนๆ มากระทบผิว ฉันเงยหน้าจากท่านั่งซบเข่า และเผลอหลับไปอีกครั้ง เมื่อมือของเขาแตะเบาๆ ที่ต้นแขน
 
“ไปกันเถอะ” ส่งมือฉุดให้ลุกขึ้น คว้าเป้ใบย่อมๆไปถือให้ รถคันที่จะพาเราไปที่ไหนสักแห่งพร้อมแล้ว
 
เส้นทางบนเกาะยังตะปุ่มตะป่ำไปด้วยกรวดหิน รถสองล้อรับจ้างพาเราสองคนทะยานขึ้นไปตามความลาดชัน และต้องหลบเลี่ยงความขรุขระ มันจึงตะเบ็งเสียงทางท่อระบายควันดัง แป๊ดๆ ฉันจิกปลายเท้าบนที่วางเท้าแน่นจนขาเกร็ง ในใจคิดว่าลงเดินน่าจะสบายกว่า แค่คิดไม่ทันไร รถก็เลี้ยวขวับไปทางขวามือร่างฉันเอียงกระเท่เร่เกือบหล่น มือคว้าแขนคนนั่งกลางเอาไว้ทัน และรถยังคงมุ่งสู่ทางสูงชันมากกว่าเดิม ใจฉันแทบขาดเพราะความหวาดกลัว
 
ไม่เกิน 10 นาที รถมอเตอร์ไซค์มาจอดบนจุดสูงสุด และสิ้นสุดทางตรงนั้นเช่นกัน
 
ราคาค่ารถที่จ่ายในเวลานั้น คนละ 20 บาท สำหรับความเห็นของฉัน มันแพงบรรลัย ถ้าเทียบกับค่าแรงรายวันของกรรมกรที่ 100 บาท/วัน
 
ไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ฉันก็ได้รู้อีกว่า ราคาอาหารบนเกาะนั้นไม่ธรรมดา
 
กระชับเป้ให้เข้ากับหลังไหล่พร้อมเดิน เส้นทางแบบนี้ฉันเดินมาแล้วหลายดงดอย จะกลัวอะไรกับการเดินแค่นี้ ยิ่งเดินในร่มเงาไม้ที่ค่อนข้างหนาทึบด้วย เพียงระวังเท้าอย่าเผลอสะดุดรากไม้ที่มีมากมายเกือบทุกย่างก้าวก็แล้วกัน
 
ทางเดินสีขาวๆ ของเม็ดทรายละเอียดยิบสลับรากไม้สีดำๆ เหมือนผืนดินกำลังบอกเล่าเรื่องราวอะไรสักอย่างที่ต้องใช้ความรู้สึกเท่านั้นจึงจะเข้าใจ และฉันยังไม่ทันจะเข้าใจได้ ในอีกสองปีต่อมา ทางสายนี้ถูกลบเลือนหาย ถูกเขียนลงใหม่ด้วยเครื่องจักรยักษ์ใหญ่ที่ลากเป็นทางกว้างยาว พร้อมให้ล้อรถยนต์บดขยี้ และตะกุยทรายจนปลิวฟุ้ง จนปัจจุบัน มันคือทางซีเมนต์
 
เราเดินช้าๆ เรื่อยๆ มีคนเดินตามกันมาอีกราวๆ สี่ห้าคน คนอื่นนั้นล้วนแต่เป็นคนตะวันตก ที่เดาว่าน่าจะรู้จักเส้นทางบนเกาะนี้ดีแล้ว เราทักทายกันถามไถ่กันบ้าง ยามที่เขาเดินก้าวยาวๆ ผ่านเลยเราไป ชายสองคนที่มาด้วยกัน หนึ่งในนั้นบอกว่าจำฉันได้เพราะเคยเจอกันที่ถนนข้าวสาร
 
ใช่แล้ว เขาคือนักเดินทางไปมามาระหว่างเกาะเต่า กับถนนข้าวสาร ส่วนชายอีกคนอายุน้อยกว่า รูปร่างสูงโปร่งผอมบาง แววตานิ่งสงบ พยักหน้าทักทายไม่ได้พูดอะไร
 
ที่นี่มีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากเกาะอื่นที่ฉันเคยไปอยู่มา สรุปหลังจากผ่านการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แล้ว คือ ทุกครั้งที่เดินสวนทางกัน ระหว่างฉันกับฝรั่ง หรือนักท่องเที่ยวที่ไม่ใช่คนไทย เราจะเซย์ฮาโหลอย่างตั้งใจให้กันเสมอ
 
ไม่ใช่แค่ทักทายกัน
 
มากกว่าหนึ่งชั่วโมงของการเดินในเส้นทางร่มรื่นนั้น ฉันเห็นต้นไม้หายากหลายชนิดที่ฝั่งแผ่นดินใหญ่แทบไม่เหลือให้เห็น
 
จะว่าไปแล้วมนุษย์ที่เสพป่าเป็นอาหารใจอย่างฉัน ก็ไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์ความเป็นเกาะสักเท่าใดนัก หากว่ามันยังคงมีต้นไม้ตามธรรมชาติยืนหยัดอวดโฉมให้ชื่นชม แต่ถ้าจะให้ดีขอให้มีน้ำตกด้วยจะยิ่งหลงรัก
 
เชื่อไหม ในอีกหนึ่งปีถัดมาฉันมีบ้านที่มีน้ำตกส่วนตัวอยู่บนเกาะนี้จริงๆ น้ำตกเฉพาะฉันเท่านั้น นักท่องเที่ยวคนอื่นไม่เกี่ยว และไม่ใช่น้ำตกดัดแปลงด้วยฝีมือมนุษย์ เป็นน้ำตกที่มาจากป่าแท้ๆ เลยเทียว
 
เรามาถึงอ่าวตะโหนด อ่าวแรกที่ฉันได้ทำความรู้จัก นอกจากอ่าวที่ท่าเทียบเรือ เพราะตอนที่เดินมุดดงไม้มานั้นแทบมองไม่เห็นทะเล ทั้งๆ ที่เราเดินอยู่บนสันเขา มีทางแยกเล็กๆ ให้เห็นเป็นระยะๆ แต่ไม่มีเครื่องหมายบอกทางว่าไปหาดใด นั่นหมายความว่าเป็นทางไปสวนมะพร้าวของชาวบ้านเท่านั้น
 
ที่อ่าวตะโหนด มีแค่บังกะโลแห่งเดียวแต่มีหลายหลัง น่าจะราวๆ ยี่สิบหลัง ตั้งอยู่ในซอกมุมของหินก้อนใหญ่ๆ บางก้อนใหญ่กว่าบังกะโลเสียอีก ตรงชายหาดมีหาดทรายกว้างแค่คนลงไปนอนอาบแดดได้ไม่เกินสิบคน แต่ในอ่าวนั่นมีหินแบนๆ กว้างๆ หลายก้อนให้ว่ายน้ำไปนอนแผ่หลาผึ่งแดดได้
 
ความทรงจำของฉันสำหรับที่นี่มีไม่มากนัก แต่จำชื่อผู้มีพระคุณได้ คือพี่หลวงชัย เจ้าของบังกะโล ที่ใจดีให้เราพักฟรี แกบอกว่าช่วงนี้มีบ้านว่างนักท่องเที่ยวไม่มาก จ่ายแค่ค่าอาหารก็พอแล้ว
 
ค่าอาหารที่ว่านี้ ราคาจานละเฉียดร้อย ในสมัยนั้นไม่ถูกเลย แต่นั่นคือกำไรของการทำบังกะโล ทุกๆ บังกะโลจะมีปัญหากับแขกที่มาพักแล้วออกไปดินเนอร์ที่อื่น ใครที่ทำแบบนั้นบ่อยๆ จะถูกตะเพิดออกจากบังกะโลได้ง่ายดาย
 
เหตุผลของแต่ละฝ่ายก็ว่าตัวเองทำถูก ฝรั่งบอกว่าเขามีสิทธิที่จะกินที่ไหนก็ได้ เจ้าของที่พักบอกว่า เขาขายห้องให้ราคาถูกจะแย่อยู่แล้วถ้าไปกินที่อื่นรายได้ที่ควรจะได้ก็หายหมด
 
เบื้องหลังปัญหานี้มีความละเอียดอ่อน น่าสนใจ และลุกลามไปถึงการแย่งลูกค้าในกรณีอื่นๆ อีกด้วย
 
คนเกาะเต่าไม่ใช่นักธุรกิจแบบไม่นับญาติกับใคร ในเวลาที่ทำธุรกิจเขาก็คิดแบบธุรกิจจริงๆ แต่ถ้าดูแลกันเหมือนเป็นพี่เป็นน้องก็จะดูแลจริงๆ จังๆ ไม่ได้ทำแบบรักษามารยาท นั่นคือสิ่งที่ฉันรับรู้ได้ในหลายคนหลายโอกาส
 
ความเดิมระหว่างพี่หลวงชัย เจ้าของบังกะโล กับผู้ชายที่ฉันเรียกว่าน้านั้น เขารู้จักกันมานานแล้ว เพราะน้าชี้ให้ดูแผ่นป้ายชื่อบังกะโลตรงทางลงหาด น้าบอกว่านั่นเป็นฝีมือของน้าที่แกะไว้เมื่อหลายปีก่อน
 
 “น้องชาญ มาอยู่กับพี่ที่นี่ตอนที่เราสร้างบังกะโลใหม่ๆ แกมาอยู่ช่วยงานเหมือนคนในครอบครัวเลย”
 
นั่นไง
 
..คนไม่พูดมาก ไม่บอกไม่เล่าอะไรฉันสักนิดเดียวเกี่ยวกับการมารู้จักเกาะแห่งนี้
 
นั่นคือเหตุการณ์ครั้งแรกของการมาเกาะเต่า ที่ฉันประทับใจที่สุดคือความเงียบ เกาะเต่าเป็นพื้นที่ๆ เงียบที่สุดในโลกก็ว่าได้
 
จะมีเสียงหนึ่ง เสียงเดียวที่ทำลายความเงียบให้สลายไปได้คือ เสียงเรือหางยาว แต่นานๆ ครั้งจะมี
 
(อ่านต่อตอนที่ 2)
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น