โดย..เงาศิลป์
(“เงาศิลป์” เกิดทางใต้ แต่เติบโตที่ภาคกลาง และใช้ชีวิตเร่ร่อนในวัยสาวทั่วประเทศไทย เพราะหลงรักเสรีภาพ และการเดินทางมากกว่าทุกสิ่ง เธอจดบันทึกทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต จนบัดนี้พยายามปักหลักหยั่งรากบนแผ่นดินอีสาน ทำงานอยู่กับต้นไม้ ยิปซีสาวแห่งทุ่งอักษรผู้แสวงหาอะไรสักอย่างที่ไม่กล้าประกาศออกไป ด้วยความหวังว่าสุดท้าย...อาจได้เจอสิ่งนั้น)
ฉันกลับไปเชียงใหม่ไม่นาน แล้วกลับมาที่เกาะอีกครั้ง มาเห็นบ้านเช่าของน้าชาญแล้วตกตะลึง เพราะน้าแกขนเครื่องมือจากกรุงเทพฯ มาเกือบครบ เครื่องมือที่ว่านี้คือเครื่องมือทำเครื่องเงิน และเครื่องแกะสลักหิน ช่างใจถึงเหลือเกินที่ทำงานกับไฟฟ้าปั่นของเกาะเพียงวันละ 5 ชั่วโมง และราคาค่าไฟฟ้าก็แพงลิ่วอีกด้วย
งานของเขาคือทำเครื่องประดับด้วยเงิน และแกะสลักหิน จำพวกที่เกือบจะเป็นอัญมณี เช่น อาเก็จ ควอต มูนสโตน โอปอล อื่นๆ อีกมากมาย เพื่อทำหัวแหวน ทำจี้ ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ และมีงานอีกชุดหนึ่งที่เขาทำไว้หลายชิ้นคือ แกะกระดูกช้าง ที่ไปที่มาของกระดูกช้างไม่ธรรมดา เป็นการได้มาด้วยความเสน่หาโดยแท้ ในคราวที่เขายังอยู่ที่เชียงใหม่เราไปเยี่ยมผู้เฒ่าปะกาเกอญอ นามว่าพ้อเลป่า ที่ดอยแม่แฮ พร้อมเพื่อนอีกสองคน
คืนวันนั้นหลังกินข้าวดอยกับน้ำพริก และปลาเผาในกระบอกไม้ไผ่อย่างเอร็ดอร่อยอิ่มหนำสำราญ เรานั่งคุยกันเรื่องสัพเพเหระ ผู้เฒ่าเอ่ยถามเขาว่าอยากได้กระดูกช้างไว้ทำงานไหมล่ะ ถ้าอยากได้ พรุ่งนี้ขึ้นดอยไปเอากัน แล้วอย่าบอกใครนะ เพราะมันผิดผีที่ไปรบกวนร่างช้าง แม้มันจะตายแล้วก็ตาม จำได้ว่า เขาออกไปข้างนอกกับพ้อเลป่า ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง แล้วกลับมามือเปล่า ฉันก็คิดว่างานเก็บกระดูกช้างไม่น่าจะสำเร็จ ที่ไหนได้ วันที่เรากลับลงมา เขาให้รถโดยสารประจำทางจอดข้างทางแล้วลงไปคุ้ยเอาห่อผ้ายาวๆ ขึ้นมาหนึ่งห่อ นั่นคือห่อกระดูกหน้าแข้งช้าง ที่เขาหอบหิ้วมาทำงานที่เชียงใหม่ และมาถึงเกาะเต่าได้ในที่สุด
ราวๆ ปลายปี อากาศชื้นฝนตกชุก ควันไฟยังทำงานของมันตามปกติ ฉันจำกลิ่นนั้นได้มันเป็นอโรมากลิ่นมะพร้าวที่ไม่ต้องเสียเงินปรุงกลิ่นเอง แต่ที่มากกว่ากลิ่น และไม่อาจทนได้คือแมลงวัน แม่เจ้าโวย...มาจากไหนกันนักนะ แทนที่จะเป็นยุงกลับเป็นแมลงวัน
“น้า ทำไมแมลงวันมันมากขนาดนั้น ปลาร้าน้าเหม็นหรือเปล่า”
ฉันรู้ว่าในช่วงที่ฉันไม่อยู่เขาไปหาปลาได้มาก มากจนต้องใส่เกลือแต่ด้วยความที่แดดไม่ค่อยมี ปลาจึงเน่า ในเมื่อปลาเน่าเขาจึงจับใส่ไหเล็กๆ แล้วอัดเกลือ และอื่นๆ ลงไปอีก แล้วเรียกมันว่า “ไหปลาร้า”
“ไม่นะ รับรองหอมฉุย จะดมดูไหมล่ะ”
แน่ะ มีท้าด้วย ฉันแค่หัวเราะ เย็นวันนั้นฉันจึงได้ชิมปลาร้าทอดของเขามันหอมจริงๆ ไม่ใช่เรื่องโม้ เรื่องของแมลงวันมากมายจึงเป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติของฤดูกาลเท่านั้นเอง
บ้านเช่าหลังเล็กๆ ราคาพันกว่าบาท อาจดูไม่มากมายแต่สำหรับยุคนั้น ฉันซึ่งยังทำงานรับเงินเดือนแบบพอเลี้ยงตัวเองได้อยู่ที่ 7,000 บาท แค่ใช้เป็นค่าเดินทางขึ้นลงเกาะก็แทบจะไม่เหลือเก็บ อีกทั้งต้องเช่าบ้าน (กระท่อม) ทิ้งไว้ที่เชียงใหม่ ในราคา 700 บาทด้วย เรื่องเงินทองเราไม่ยุ่งเกี่ยวกัน กระเป๋าใครกระเป๋ามัน ดังนั้น การใช้ชีวิตของน้าจึงต้องพึ่งพาธรรมชาติในบางที นั่นคือการหาปลาในทะเล แรกๆ แสนจะสาหัสเพราะหาไม่เป็น
เราจึงทดลองไปตกปลากัน โดยใช้เหยื่อปลอม ใช้สายเบ็ดพันที่ขวดน้ำพลาสติกแล้วเหวี่ยงเบ็ดออกไป ลากเหยื่อด้วยการพันกลับเข้ามาที่ขวด เท่าที่จำได้ ปลาชะตาขาดที่ฉันได้มีขนาดไม่โตนัก แต่ชีวิตมันก็คุ้มค่า (ต้องขอระลึกคุณ และขออโหสิกรรมด้วย)
ต่อๆ มา การหาปลากลายเป็นกิจกรรมผักผ่อนในยามเย็น มีอยู่วันหนึ่ง เรากำลังจะไปตกปลาที่ชายหาด ระยะทางการเดินน่าจะราวๆ ครึ่งชั่วโมง แต่พอมาถึงกลางทางได้สวนทางกับฝรั่งวัยพอๆ กันกับพวกเรา จึงทักทายเซย์ฮาโหลกัน เขาถามว่าจะไปไหน เราบอกว่าจะไปตกปลา เขาขอตามไปด้วย เราก็บอกว่ายินดีนะ เขาจึงเดินมากับพวกเรา และแล้วกิจกรรมกระชับมิตรก็เกิดขึ้น เมื่อนายสุภาพบุรุษอังกฤษดึงบุหรี่มาจุด พอเขาพ่นควันออกมาถึงได้รู้ว่าเป็นกัญชา เหม็นชะมัดเลย ฉันบ่นดังๆ เขาหัวเราะหึหึ
ในที่สุดกว่าจะไปถึงที่ตกปลา ชายสองคนที่มีบุคลิกภาพต่างกัน ต่างก็มีอารมณ์ดีกันถ้วนหน้า เพราะว่ากัญชาทำให้เมาได้ทั้งฮิปปี้ และคอเสื้อขาว (ไวท์ คอลาร์ ภาษาที่เรียกพวกใส่สูท มาดดี)
ฉันนั่งเหวี่ยงสายเบ็ดเล่นๆ มากกว่าจะตั้งใจตกจริง ส่วนน้าชาญ ยังคงตั้งใจทำงานสลับกับการแบ่งบุหรี่ยัดไส้กัญชาสูบกับนายอังกฤษ ขณะที่นายอังกฤษนอนเอกเขนกบนก้อนหิน แล้วเล่าเรื่องร้ายๆ ของตัวเองให้เราฟังอย่างสบายอารมณ์
“ผมถูกมอมยาที่ถนนข้าวสาร หมดตัวเลย จึงต้องมาพักผ่อนรอเอกสารใหม่ที่นี่”
สรุปสั้นๆ ของเขาเป็นแบบนั้น เขาบอกว่าเขานั่งดื่มเบียร์อยู่คนเดียวในร้านแล้วมีชายไทยมาตีสนิทขอดื่มเบียร์กับเขาด้วย ไม่รู้ว่าเผลอไปตอนไหน มารู้ตัวอีกทีตอนถูกเด็กในร้านมาปลุก เพราะหลับสนิทฟุบอยู่กับโต๊ะนั่นเอง กระเป๋าเงิน และเอกสารทุกอย่างหายหมด
ฟังแล้วไม่กล้าหัวเราะด้วยความสงสาร แต่เขากลับหัวเราะเยาะชะตาตัวเอง ฉันถามเขาว่าแล้วไม่กลัวคนไทยอย่างเราจะหลอกเขาอีกหรือ เขาตอบว่า
“หลอกผมตอนนี้ก็ไม่ได้อะไรหรอก นอกจากกัญชามวนนี้แหละ”
(อ่านต่อตอนที่ 4)
- “เกาะเต่า” เรื่องที่ฉันไม่เคยเล่าให้ใครฟัง (ตอนที่ 2) เปิดใจเกาะเต่า
http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9570000115779
- “เกาะเต่า” เรื่องที่ฉันไม่เคยเล่าให้ใครฟัง (ตอนที่ 1) : หลงรักดงดอย แต่ต้องไปลอยคออยู่เกาะ เพราะเขาแท้ๆ
http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9570000115244
- “เกาะเต่า” เรื่องที่ฉันไม่เคยเล่าให้ใครฟัง (เกริ่นนำ)
http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9570000114742