วันนี้ (16 มี.ค.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อม พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม และคณะ เข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ร่วมกับประเทศสมาชิก 10 ประเทศ โดยมาเลเซียเป็นเจ้าภาพ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมาเลเชีย เป็นประธานการประชุม
ในที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์และมุมมองความมั่นคงของภูมิภาคร่วมกัน โดยทุกประเทศเห็นร่วมกันว่า ภัยคุกคามของภูมิภาคในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เปลี่ยนไปมาก โดยภัยคุกคามรูปแบบเดิมลดลง แต่ก็อาจมีความเสี่ยงเกิดขึ้นได้ ส่วนภัยคุกคามรูปแบบใหม่มีความเชื่อมโยงและสลับซับซ้อนมากขึ้น ได้แก่ ภาวะโลกร้อน ภัยคุกคามทางทะเล การก่อการร้าย อาชญกรรมข้ามชาติ การค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติด โรคระบาด ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และภัยคุกคามจากไซเบอร์ เป็นต้น ซึ่งแต่ละประเทศไม่สามารถแก้ไขได้โดยลำพัง จึงมีความจำเป็นที่ทุกประเทศสมาชิกต้องร่วมมือกันแก้ปัญหา และกระชับความร่วมมือกันในภูมิภาคให้มากขึ้น
การดำเนินการของประชาคมความมั่นคงอาเซียนที่ผ่านมามีความคืบหน้าไปมาก สืบเนื่องจากกลไกความร่วมมือจากการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนที่มีมาเกือบ 10 ปี สามารถขยายความร่วมมือที่กว้างขวางสู่ความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันมากขึ้น นำไปสู่ความร่วมมือกันแก้ปัญหาต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อภูมิภาคร่วมกัน โดยเฉพาะสถาการณ์ภัยคุกคามทางธรรมชาติของภูมิภาค และอุบัติภัยที่เกิดขึ้นกับประเทศสมาชิกที่ผ่านมา ทุกประเทศได้ใช้ทรัพยากรทางทหารในการช่วยเหลือกันแก้ปัญหาและบรรเทาภัยพิบัติที่เกิดจากความท้าทายของภูมิภาคร่วมกัน เรากำลังเข้าสู่ทางแยกที่สำคัญของการรวมเป็นประชาคมอาเซียนในปลายปีนี้ จึงมีความจำเป็นต้องแน่นแฟ้นและเป็นปึกแผ่น เพื่อเสริมสร้าง กระชับความร่วมมือในด้านต่างๆ ให้มากขึ้น ร่วมกันวางรากฐานความมั่นคง ความปรองดอง สร้างเสถียรภาพและความปลอดภัยของภูมิภาค โดยใช้แนวทางสันติวิธี ดังนั้น ความร่วมมือระดับพหุภาคีและปฏิสัมพันธ์ทางทหารระหว่างประเทศสมาชิกร่วมกับภาคประชาสังคม ร่วมกับการเปิดโอกาสให้แต่ละประเทศเข้าร่วมโดยสมัครใจแและไม่มีข้อผูกมัด จึงมีความสำคัญ เพื่อรักษาสมดุลของอาเซียนกับภูมิภาคอื่น
จากความท้าทายจากภัยคุกคามที่เห็นร่วมกันดังกล่าว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เสนอถึงความจำเป็นที่ทุกประเทศสมาชิกต้องผลักดันให้มีการบูรณาการหน่วยงานรัฐในการทำงานร่วมกับภาคประชาสังคมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ร่วมกันส่งเสริมความร่วมมือทางทหารทั้งในและนอกภูมิภาค เพื่อเสริมความเข้มแข็งของภูมิภาค โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมโยงของทั้งภูมิภาคด้วยโครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมควบคู่กับการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบร่วมกัน โดยประเทศไทยได้สร้างกลไกเชื่อมโยงความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษใน 6เขตรองรับ ซึ่งจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน และได้ใช้โอกาสนี้ชี้แจงถึงการดำเนินงานตามแผนงานของรัฐบาลในการปฏิรูปประเทศ เพื่อให้ประเทศไทยกลับสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์โดยเร็ว พร้อมทั้งได้เสนอให้มีการจัดตั้งศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน (ASEAN Center of Military Medicine) ขึ้นในประเทศไทย เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของกิจการแพทย์ทหารในภูมิภาค ณ กรมแพทย์ทหารบก ประเทศไทย ซึ่งทุกประเทศสมาชิกได้ให้ความเห็นชอบและแสดงความชื่นชมต่อความคิดริเริ่มของไทยในครั้งนี้
ทั้งนี้ ก่อนปิดการประชุมที่ประชุมได้เห็นชอบร่วมกันรับรองเอกสารหลายฉบับ ได้แก่ เอกสารแนวความคิดว่าด้วยกองกำลังเเตรียมพร้อมอาเซียนด้านการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ เอกสารแนวความคิดว่าด้วยแนวทางในการตอบรับคำร้องขอ เพื่อการพบปะหรือการประชุมอย่างไม่เป็นทางการจากประเทศคู่เจรจา ในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา เอกสารแนวความคิดว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน ซึ่งฝ่ายไทยเป็นผู้ริเริ่มเสนอ การรับรองระเบียบปฏิบัติประจำในการใช้ทรัพยากรทางทหาร ในด้านการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ (HADR) ภายใต้กรอบการทำงานตามมาตรฐาน วิธีการปฏิบัติและระบบเตรียมความพร้อมด้านการประสานงานการบรรเทาทุกข์และตอบโต้สถานการณ์ภัยพิบัติฉุกเฉินของอาเซียน และท้ายที่สุดได้ลงนามรับรองในปฏิญญาร่วมการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 9 ในหัวข้อ "การดำรงไว้ซึ่งความมั่นคงและเสถียรภาพเพื่อประชาชนและโดยประชาชน"
ในที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์และมุมมองความมั่นคงของภูมิภาคร่วมกัน โดยทุกประเทศเห็นร่วมกันว่า ภัยคุกคามของภูมิภาคในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เปลี่ยนไปมาก โดยภัยคุกคามรูปแบบเดิมลดลง แต่ก็อาจมีความเสี่ยงเกิดขึ้นได้ ส่วนภัยคุกคามรูปแบบใหม่มีความเชื่อมโยงและสลับซับซ้อนมากขึ้น ได้แก่ ภาวะโลกร้อน ภัยคุกคามทางทะเล การก่อการร้าย อาชญกรรมข้ามชาติ การค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติด โรคระบาด ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และภัยคุกคามจากไซเบอร์ เป็นต้น ซึ่งแต่ละประเทศไม่สามารถแก้ไขได้โดยลำพัง จึงมีความจำเป็นที่ทุกประเทศสมาชิกต้องร่วมมือกันแก้ปัญหา และกระชับความร่วมมือกันในภูมิภาคให้มากขึ้น
การดำเนินการของประชาคมความมั่นคงอาเซียนที่ผ่านมามีความคืบหน้าไปมาก สืบเนื่องจากกลไกความร่วมมือจากการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนที่มีมาเกือบ 10 ปี สามารถขยายความร่วมมือที่กว้างขวางสู่ความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันมากขึ้น นำไปสู่ความร่วมมือกันแก้ปัญหาต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อภูมิภาคร่วมกัน โดยเฉพาะสถาการณ์ภัยคุกคามทางธรรมชาติของภูมิภาค และอุบัติภัยที่เกิดขึ้นกับประเทศสมาชิกที่ผ่านมา ทุกประเทศได้ใช้ทรัพยากรทางทหารในการช่วยเหลือกันแก้ปัญหาและบรรเทาภัยพิบัติที่เกิดจากความท้าทายของภูมิภาคร่วมกัน เรากำลังเข้าสู่ทางแยกที่สำคัญของการรวมเป็นประชาคมอาเซียนในปลายปีนี้ จึงมีความจำเป็นต้องแน่นแฟ้นและเป็นปึกแผ่น เพื่อเสริมสร้าง กระชับความร่วมมือในด้านต่างๆ ให้มากขึ้น ร่วมกันวางรากฐานความมั่นคง ความปรองดอง สร้างเสถียรภาพและความปลอดภัยของภูมิภาค โดยใช้แนวทางสันติวิธี ดังนั้น ความร่วมมือระดับพหุภาคีและปฏิสัมพันธ์ทางทหารระหว่างประเทศสมาชิกร่วมกับภาคประชาสังคม ร่วมกับการเปิดโอกาสให้แต่ละประเทศเข้าร่วมโดยสมัครใจแและไม่มีข้อผูกมัด จึงมีความสำคัญ เพื่อรักษาสมดุลของอาเซียนกับภูมิภาคอื่น
จากความท้าทายจากภัยคุกคามที่เห็นร่วมกันดังกล่าว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เสนอถึงความจำเป็นที่ทุกประเทศสมาชิกต้องผลักดันให้มีการบูรณาการหน่วยงานรัฐในการทำงานร่วมกับภาคประชาสังคมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ร่วมกันส่งเสริมความร่วมมือทางทหารทั้งในและนอกภูมิภาค เพื่อเสริมความเข้มแข็งของภูมิภาค โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมโยงของทั้งภูมิภาคด้วยโครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมควบคู่กับการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบร่วมกัน โดยประเทศไทยได้สร้างกลไกเชื่อมโยงความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษใน 6เขตรองรับ ซึ่งจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน และได้ใช้โอกาสนี้ชี้แจงถึงการดำเนินงานตามแผนงานของรัฐบาลในการปฏิรูปประเทศ เพื่อให้ประเทศไทยกลับสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์โดยเร็ว พร้อมทั้งได้เสนอให้มีการจัดตั้งศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน (ASEAN Center of Military Medicine) ขึ้นในประเทศไทย เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของกิจการแพทย์ทหารในภูมิภาค ณ กรมแพทย์ทหารบก ประเทศไทย ซึ่งทุกประเทศสมาชิกได้ให้ความเห็นชอบและแสดงความชื่นชมต่อความคิดริเริ่มของไทยในครั้งนี้
ทั้งนี้ ก่อนปิดการประชุมที่ประชุมได้เห็นชอบร่วมกันรับรองเอกสารหลายฉบับ ได้แก่ เอกสารแนวความคิดว่าด้วยกองกำลังเเตรียมพร้อมอาเซียนด้านการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ เอกสารแนวความคิดว่าด้วยแนวทางในการตอบรับคำร้องขอ เพื่อการพบปะหรือการประชุมอย่างไม่เป็นทางการจากประเทศคู่เจรจา ในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา เอกสารแนวความคิดว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน ซึ่งฝ่ายไทยเป็นผู้ริเริ่มเสนอ การรับรองระเบียบปฏิบัติประจำในการใช้ทรัพยากรทางทหาร ในด้านการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ (HADR) ภายใต้กรอบการทำงานตามมาตรฐาน วิธีการปฏิบัติและระบบเตรียมความพร้อมด้านการประสานงานการบรรเทาทุกข์และตอบโต้สถานการณ์ภัยพิบัติฉุกเฉินของอาเซียน และท้ายที่สุดได้ลงนามรับรองในปฏิญญาร่วมการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 9 ในหัวข้อ "การดำรงไว้ซึ่งความมั่นคงและเสถียรภาพเพื่อประชาชนและโดยประชาชน"