จีนประกาศลดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้ลงมาอยู่ที่ระดับ 7% พร้อมให้คำมั่นเปิดอุตสาหกรรมรับนักลงทุนต่างชาติเพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็จะยอมให้งบประมาณแผ่นดินปี 2015 มียอดขาดดุลสูงที่สุด
เป้าหมาย 7% คราวนี้ ซึ่งลดลงจากเป้าหมาย 7.5% ที่กำหนดออกมาสำหรับปีที่แล้ว และถือเป็นอัตราต่ำสุดนับจากปี 2004 นั้น สอดคล้องกับความพยายามในการสร้าง “สังคมที่มั่งคั่งอย่างค่อยเป็นค่อยไป” ตามที่นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง รายงานต่อที่ประชุมเต็มคณะของสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ หรือรัฐสภาของแดนมังกร เมื่อวันพฤหัสบดี (5 มี.ค.)
ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของจีนในปี 2014 นั้น ทำได้จริงอยู่ที่ 7.4% นับเป็นอัตราเติบโตต่ำสุดนับจากปี 1990 อีกทั้งยังเป็นการต่ำกว่าเป้าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1998 ซึ่งเป็นช่วงที่เอเชียเผชิญวิกฤตการเงิน
พรรคคอมมิวนิสต์จีนขณะนี้อยู่บนเส้นทางยาวไกลแห่งการลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก โดยที่จะต้องปรับเปลี่ยนหันมาสร้างการเติบโตจากการบริโภคและบริการภายในประเทศ แทนที่โมเดลเดิมซึ่งขับเคลื่อนด้วยการค้าและการลงทุนในภาคก่อสร้างและอุตสาหกรรม อันส่งผลให้เกิดมลพิษทางน้ำและอากาศอย่างรุนแรง
หลี่กล่าวย้ำระหว่างการรายงานกิจการรัฐบาล หรือก็คือการแถลงนโยบายประจำปีต่อรัฐสภา ในวันพฤหัสบดีว่า จีนจำเป็นต้องรักษาสมดุลระหว่างการเติบโตที่มั่นคงและการปฏิรูป
บรรดาผู้นำคอมมิวนิสต์ของจีนต่างยอมรับแนวทางการชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ระบุว่าเป็นการก้าวไปสู่ “ดุลยภาพใหม่” (new normal) อย่างไรก็ดี ผู้นำเหล่านี้ยังกังวลว่า อัตราว่างงานจะพุ่งขึ้นรุนแรงซึ่งถือเป็นอันตรายทางการเมือง ดังนั้น ธนาคารประชาชนแห่งประเทศจีน ซึ่งเป็นแบงก์ชาติของแดนมังกร จึงมีการลดอัตราดอกเบี้ยถึง 2 ครั้งตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว
นอกจากนั้น จีนยังวางแผนเพิ่มงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลในปี 2015 นี้ขึ้นเป็น 17.15 ล้านล้านหยวน (2.74 ล้านล้านดอลลาร์) สูงขึ้น 10.6% จากปีที่แล้ว
นี่ยังหมายความว่ายอดขาดดุลงบประมาณในปีนี้จะเป็น 1.62 ล้านล้านหยวน หรือราว 2.3%ของจีดีพี เปรียบเทียบกับ 2.1% ของจีดีพีในปี 2014 และถือว่าขาดดุลมากที่สุดนับจากปี 2009 เมื่อปักกิ่งต้องประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมโหฬารเพื่อต่อสู้กับวิกฤตภาคการเงินทั่วโลก
เงินงบประมาณที่เพิ่มขึ้นมานี้ บางส่วนจะถูกใช้ในโครงการทางรถไฟและโครงการด้านน้ำ ตลอดจนการปรับปรุงการเกษตรให้ทันสมัย ถึงแม้ สีว์ เซ่าสือ ประธานสำนักงานวางแผนเศรษฐกิจของรัฐบาลจะระบุว่า แผนการลงทุนเหล่านี้ไม่ควรมองว่าเป็น “มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมโหฬาร”
เป้าหมาย 7% คราวนี้ ซึ่งลดลงจากเป้าหมาย 7.5% ที่กำหนดออกมาสำหรับปีที่แล้ว และถือเป็นอัตราต่ำสุดนับจากปี 2004 นั้น สอดคล้องกับความพยายามในการสร้าง “สังคมที่มั่งคั่งอย่างค่อยเป็นค่อยไป” ตามที่นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง รายงานต่อที่ประชุมเต็มคณะของสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ หรือรัฐสภาของแดนมังกร เมื่อวันพฤหัสบดี (5 มี.ค.)
ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของจีนในปี 2014 นั้น ทำได้จริงอยู่ที่ 7.4% นับเป็นอัตราเติบโตต่ำสุดนับจากปี 1990 อีกทั้งยังเป็นการต่ำกว่าเป้าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1998 ซึ่งเป็นช่วงที่เอเชียเผชิญวิกฤตการเงิน
พรรคคอมมิวนิสต์จีนขณะนี้อยู่บนเส้นทางยาวไกลแห่งการลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก โดยที่จะต้องปรับเปลี่ยนหันมาสร้างการเติบโตจากการบริโภคและบริการภายในประเทศ แทนที่โมเดลเดิมซึ่งขับเคลื่อนด้วยการค้าและการลงทุนในภาคก่อสร้างและอุตสาหกรรม อันส่งผลให้เกิดมลพิษทางน้ำและอากาศอย่างรุนแรง
หลี่กล่าวย้ำระหว่างการรายงานกิจการรัฐบาล หรือก็คือการแถลงนโยบายประจำปีต่อรัฐสภา ในวันพฤหัสบดีว่า จีนจำเป็นต้องรักษาสมดุลระหว่างการเติบโตที่มั่นคงและการปฏิรูป
บรรดาผู้นำคอมมิวนิสต์ของจีนต่างยอมรับแนวทางการชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ระบุว่าเป็นการก้าวไปสู่ “ดุลยภาพใหม่” (new normal) อย่างไรก็ดี ผู้นำเหล่านี้ยังกังวลว่า อัตราว่างงานจะพุ่งขึ้นรุนแรงซึ่งถือเป็นอันตรายทางการเมือง ดังนั้น ธนาคารประชาชนแห่งประเทศจีน ซึ่งเป็นแบงก์ชาติของแดนมังกร จึงมีการลดอัตราดอกเบี้ยถึง 2 ครั้งตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว
นอกจากนั้น จีนยังวางแผนเพิ่มงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลในปี 2015 นี้ขึ้นเป็น 17.15 ล้านล้านหยวน (2.74 ล้านล้านดอลลาร์) สูงขึ้น 10.6% จากปีที่แล้ว
นี่ยังหมายความว่ายอดขาดดุลงบประมาณในปีนี้จะเป็น 1.62 ล้านล้านหยวน หรือราว 2.3%ของจีดีพี เปรียบเทียบกับ 2.1% ของจีดีพีในปี 2014 และถือว่าขาดดุลมากที่สุดนับจากปี 2009 เมื่อปักกิ่งต้องประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมโหฬารเพื่อต่อสู้กับวิกฤตภาคการเงินทั่วโลก
เงินงบประมาณที่เพิ่มขึ้นมานี้ บางส่วนจะถูกใช้ในโครงการทางรถไฟและโครงการด้านน้ำ ตลอดจนการปรับปรุงการเกษตรให้ทันสมัย ถึงแม้ สีว์ เซ่าสือ ประธานสำนักงานวางแผนเศรษฐกิจของรัฐบาลจะระบุว่า แผนการลงทุนเหล่านี้ไม่ควรมองว่าเป็น “มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมโหฬาร”