ปิดการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐ เมื่อคืนที่ผ่านมา ปิดแดนบวกสดใส ผลจากข่าวการควบรวมกิจการของ NPX ที่เข้าซื้อกิจการฟรีสเกล เซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งทั้ง 2 บริษัทนี้ ต่างจดทะเบียนอยู่ในแนสแด็ก ซึ่งมีมูลค่ากว่า 16,700 ล้านดอลลาร์ ทำให้แนสแด็กปิด 5,000 จุด เป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี
โดย ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 155.93 จุด หรือ +0.86 เปอร์เซ็นต์ ปิดที่ 18,288.63 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 12.89 จุด หรือ +0.61 เปอร์เซ็นต์ ปิดที่ 2,117.39 จุด ด้าน แนสแด็ก เพิ่มขึ้น 44.57 จุด หรือ +0.90 เปอร์เซ็นต์ ปิดที่ 5,008.10 จุด
ตลาดหุ้นนิวยอร์กพุ่งขึ้นหลังจากผลสำรวจของมาร์กิตระบุว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของสหรัฐประจำเดือนก.พ.อยู่ที่ 55.1 เพิ่มขึ้นจากเดือนม.ค.ซึ่งอยู่ที่ 53.9 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตของสหรัฐมีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง อันเนื่องมาจากคำสั่งซื้อใหม่และการผลิตเพิ่มขึ้นในอัตราสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2557
ขณะเดียวกันตลาดได้รับแรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะ 1 ปี ลง 0.25% สู่ระดับ 5.35% และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะ 1 ปี ลง 0.25% สู่ระดับ 2.50% ด้านนักวิเคราะห์มองว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของจีนที่เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดนั้น จะช่วยลดต้นทุนในการกู้ยืมของบรรดาผู้ประกอบการ และสามารถสกัดความเสี่ยงด้านเงินฝืด ท่ามกลางเศรษฐกิจจีนที่กำลังชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากรายงานที่ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะเริ่มดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในเดือนนี้ ตามมติในที่ประชุมเมื่อเมื่อวันที่ 22 ม.ค.ซึ่งระบุว่า ECB จะซื้อพันธบัตรจำนวน 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน จนถึงเดือนก.ย.ปีหน้า โดยเริ่มต้นในเดือนมี.ค. เพื่อทำให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ใกล้ระดับ 2% ในระยะกลาง โดย ECB จะซื้อพันธบัตรของรัฐบาลหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงกรีซ
ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ งวดส่งมอบเดือน เม.ย. ลดลง 17 เซนต์ หรือ -0.34 เปอร์เซ็นต์ ปิดที่ 49.59 ดอลลาร์สหรัฐต่อ บาร์เรล จากความกังวลของนักลงทุนของอุปสงค์ล้นตลาด ด้านเบรนท์ลอนดอน ลดลง 3.04 ดอลลาร์ ปิดที่ 59.54 ดอลลาร์
ขณะที่ราคาทองคำตลาดนิวยอร์ก ลดลง 4.90 ดอลลาร์ หรือ -0.40 เปอร์เซ็นต์ ปิดที่ 1,208.20 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ผลจากนักลงทุนกังวลเศรษฐกิจของสหรัฐ เช่นเดียวกับการตัดอัตราดอกเบี้ยที่น่าประหลาดใจจากประเทศจีน
โดย ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 155.93 จุด หรือ +0.86 เปอร์เซ็นต์ ปิดที่ 18,288.63 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 12.89 จุด หรือ +0.61 เปอร์เซ็นต์ ปิดที่ 2,117.39 จุด ด้าน แนสแด็ก เพิ่มขึ้น 44.57 จุด หรือ +0.90 เปอร์เซ็นต์ ปิดที่ 5,008.10 จุด
ตลาดหุ้นนิวยอร์กพุ่งขึ้นหลังจากผลสำรวจของมาร์กิตระบุว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของสหรัฐประจำเดือนก.พ.อยู่ที่ 55.1 เพิ่มขึ้นจากเดือนม.ค.ซึ่งอยู่ที่ 53.9 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตของสหรัฐมีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง อันเนื่องมาจากคำสั่งซื้อใหม่และการผลิตเพิ่มขึ้นในอัตราสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2557
ขณะเดียวกันตลาดได้รับแรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะ 1 ปี ลง 0.25% สู่ระดับ 5.35% และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะ 1 ปี ลง 0.25% สู่ระดับ 2.50% ด้านนักวิเคราะห์มองว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของจีนที่เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดนั้น จะช่วยลดต้นทุนในการกู้ยืมของบรรดาผู้ประกอบการ และสามารถสกัดความเสี่ยงด้านเงินฝืด ท่ามกลางเศรษฐกิจจีนที่กำลังชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากรายงานที่ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะเริ่มดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในเดือนนี้ ตามมติในที่ประชุมเมื่อเมื่อวันที่ 22 ม.ค.ซึ่งระบุว่า ECB จะซื้อพันธบัตรจำนวน 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน จนถึงเดือนก.ย.ปีหน้า โดยเริ่มต้นในเดือนมี.ค. เพื่อทำให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ใกล้ระดับ 2% ในระยะกลาง โดย ECB จะซื้อพันธบัตรของรัฐบาลหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงกรีซ
ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ งวดส่งมอบเดือน เม.ย. ลดลง 17 เซนต์ หรือ -0.34 เปอร์เซ็นต์ ปิดที่ 49.59 ดอลลาร์สหรัฐต่อ บาร์เรล จากความกังวลของนักลงทุนของอุปสงค์ล้นตลาด ด้านเบรนท์ลอนดอน ลดลง 3.04 ดอลลาร์ ปิดที่ 59.54 ดอลลาร์
ขณะที่ราคาทองคำตลาดนิวยอร์ก ลดลง 4.90 ดอลลาร์ หรือ -0.40 เปอร์เซ็นต์ ปิดที่ 1,208.20 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ผลจากนักลงทุนกังวลเศรษฐกิจของสหรัฐ เช่นเดียวกับการตัดอัตราดอกเบี้ยที่น่าประหลาดใจจากประเทศจีน